ค้นหา

ไอเดียลงทุนแบบ ‘Passive Income’ เสริมความมั่งคั่ง

ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐที่เผชิญวิกฤติแบงก์รันที่ผ่านมา และธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% นี่คือ 10 ไอเดียการลงทุนเพื่อสร้างรายได้แบบ ‘Passive Income’ เสริมความมั่งคั่งปี 2566 ได้แก่

·      การลงทุนในหุ้นปันผล

·      การลงทุนในบอนด์และกองทุนรวมตราสารหนี้

·      การลงทุนผ่านธุรกรรมการกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลทั่วไปในรูปแบบออนไลน์ หรือ Peer-to-peer Lending (P2P)

·      การปล่อยเช่าอาคาร สถานที่ 

·      การขายลิขสิทธิ์สินทรัพย์ทางปัญญา

·      การปล่อยเช่ารถส่วนตัว

·      ออมเงินในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง หรือใบรับรองเงินฝาก

·      หารายได้ผ่านการตลาดแบบพันธมิตร หรือ Affiliate marketing

·      สร้างคอร์สออนไลน์ หรือผลิตภัณฑ์ของตัวเอง

·      ปล่อยเช่าอุปกรณ์ช่าง หรือกล้องถ่ายรูป 

‘Passive Income’ อาจไม่ใช่การหารายได้ที่ทำงานมากที่สุด แต่อย่างน้อย หากสามารถทำได้สำเร็จก็เป็นการหารายได้นอกจากงานประจำที่ดีมากทีเดียว โดยหากกล่าวถึงนิยามคร่าวๆ Passive Income หรือการหารายได้แบบเสือนอนกิน คือ ‘รายได้’ รูปแบบหนึ่งที่มาจากการลงแรงทำงานไปในตอนแรก แต่ยังคงสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องแม้จะไม่ได้ทำงานนั้นแล้วก็ตาม 

แนวคิดเบื้องหลังลักษณะการหารายได้เช่นนี้คือ การที่คุณสามารถสร้างรายได้จากสิ่งของที่คุณมีโดยไม่ต้องเสียแรงมากมายในการกระทำนั้น ยกตัวอย่างเช่น การปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ หุ้นที่จ่ายปันผล หรือแม้แต่การปล่อยเช่ายานพาหนะก็ตาม อย่างไรก็ดีแนวคิดการสร้างรายได้แบบ Passive Income หลายครั้งก็จำเป็นต้องใช้เงินทุนตั้งต้น หรือยอมเสียหยาดเหงื่อก่อนในตอนแรก 

ด้านทิฟฟานี แกรนท์ ผู้เผยแพร่ความรู้ด้านการเงิน และเจ้าของรายการพอดแคสต์ ‘the Money Talk With Tiff’ กล่าวว่า “ทุกรูปแบบของการสร้างเงินแบบ Passive Income ล้วนต้องการเวลา พลังงาน ความมุ่งมั่นที่จะเป็นอิสระทางการเงิน แต่บางครั้งหลายคนก็ล้มเลิกเสียก่อนที่จะได้มา

และนี่คือ 10 หนทางสร้าง Passive Income ในปี 2023 นี้

 

1. หุ้นปันผล (Dividend stocks)

หุ้นปันผลจะจ่ายเงินบางส่วนของรายได้ของบริษัทให้ผู้ถือหุ้นเป็นประจำ ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยส่วนมากมักจ่ายเป็นรายไตรมาส อย่างไรก็ตาม บริษัทที่จะสามารถจ่ายปันผลได้มักเป็นบริษัทที่ตั้งมาระยะเวลาหนึ่ง โดยผ่านระยะเวลาสร้างการเติบโตและเข้าสู่ระยะสร้างรากฐานที่มั่นคง ยกตัวอย่างเช่น บริษัทอย่าง Coca-Cola , IBM, McDonald บรรษัทเหล่านี้จ่ายเงินปันผลเพิ่มมากขึ้นเป็นเวลา 20 ปีติดต่อกันมาแล้ว 

โน้ตสำคัญ: แม้ว่าหลายบริษัทจะจ่ายเงินปันผลเป็นประจำ แต่เงินปันผลไม่ใช่ข้อผูกมัดของบริษัท ดังนั้นบางปีอาจจะไม่จ่าย หรือจ่ายน้อยลง ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจ 

ทั้งนี้ การสร้างรายได้จากหุ้นปันผลไม่ใช่เรื่องยาก เพราะนักลงทุนสามารถเข้าไปคำนวณเงินปันผลได้ที่แอปพลิเคชันการลงทุนของแต่ละโบรกเกอร์ หรือหน้านักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัทได้ตลอดเวลาแต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือจำนวนเงินที่เราจะเข้าไปซื้อหุ้นนั้นให้มากพอจนได้เงินปันผลมากที่เราต้องการ

 

2. พันธบัตรและกองทุนรวมตราสารหนี้

บอนด์’ หรือ Bond ในภาษาไทยนั้นแปลได้ 2 อย่างคือ หากบอนด์นั้นออกโดยหน่วยงานของรัฐเราจะเรียกว่า ‘พันธบัตร’ แต่หากออกโดยภาคเอกชนจะเรียกว่า ‘หุ้นกู้’ ซึ่งไม่ว่าจะแปลว่าอะไร ทั้งสองคือ ‘สินทรัพย์’ ที่ออกโดยหน่วยงานงานของรัฐหรือภาคเอกชนเพื่อระดมทุนจากนักลงทุน 

หากคุณซื้อบอนด์นั้นแปลว่า คุณให้หน่วยงานผู้ออกสินทรัพย์ดังกล่าวยืมเงินไปใช้ในการทำบางสิ่งบางอย่างภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยมากมักอยู่ในช่วง 1 ปี หรือมากถึง 10 ปี โดยสิ่งที่คุณจะได้ตอบแทนกลับมาคือ ดอกเบี้ยตามช่วงเวลาที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวนการลงทุน เมื่อสิ้นสภาพบอนด์ก็จะได้รับเงินต้นกลับคืนมา 

ส่วนกองทุนรวมตราสารหนี้ หรือ Bond Fund คือสินทรัพย์การลงทุนชนิดหนึ่งที่ผู้บริการกองทุนซื้อบอนด์หลายๆ ตัว เข้ามาในพอร์ตตามธีมการลงทุนนั้นๆ และบริหารโดยนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญ  

ยกตัวอย่างเช่น สมมุติคุณซื้อบอนด์ชนิด 5 ปี ด้วยเงิน 1,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 33,000 บาท จากบริษัท ก. ผ่านข้อตกลงรับดอกเบี้ย 2% ต่อปี สิ่งที่คุณจะได้รายปีคือ บริษัท ก. จะจ่ายดอกเบี้ยให้คุณ 20 ดอลลาร์ หรือประมาณ 660 บาทต่อปี เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่ตกลงที่ 5 ปี คุณจะได้รับเงินต้นคืน 1000 ดอลลาร์ นั้นหมายความว่าคุณจะได้ดอกเบี้ยทั้งหมดอยู่ที่ 20 ดอลลาร์ คูณ 5 ปี เท่ากับ 100 ดอลลาร์ หรือประมาณ 3,300 บาท และเงินต้นอีก 1000 ดอลลาร์ 

ทั้งนี้บอนด์ และกองทุนตราสารหนี้มีหลายรูปแบบ มีทั้งความเสี่ยงมาก-ความเสี่ยงน้อย-ความเสี่ยงปานกลาง โดยหากเป็นกรณี ‘พันธบัตรรัฐบาล’ จะออกโดยกระทรวงการคลังสหรัฐ และเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด แต่ก็ได้ดอกเบี้ยน้อยมากเมื่อเทียบกับบอนด์ชนิดอื่นที่มีความเสี่ยงมากกว่า ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่อยู่ในหนังสือชี้ชวนการลงทุน 

อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรทราบว่า มูลค่าที่ตราไว้ของบอนด์ (The Face Value of a Bond) จะผันผวนตามสภาวะตลาด โดยหากคุณถือบอนด์ดังกล่าวไว้จนครบกําหนดเวลา คุณจะได้รับเงินต้นเต็มจำนวน แต่หากขายสินทรัพย์ดังกล่าวก่อนวันครบกําหนดมูลค่าอาจสูงขึ้นหรือต่ำลงขึ้นอยู่กับภาพรวมตลาด ณ ช่วงนั้น 

 

3. ธุรกรรมการกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลทั่วไปในรูปแบบออนไลน์ หรือ Peer-to-peer Lending (P2P)

การสร้างรายได้ในลักษณะนี้คือการที่บุคคลสองคนทำธุรกรรมทางการเงินต่อกันโดยไม่ผ่านธนาคารพาณิชย์ โดยผู้ปล่อยกู้จะได้รับดอกเบี้ยตามจำนวนที่ตกลงกันก่อนการทำธุรกรรม ทั้งนี้ จำนวนเงินในธุรกรรมดังกล่าวไม่แน่นอน แต่มักอยู่ในช่วง 1000 ดอลลาร์ ถึง 25,000 ดอลลาร์ ต่อครั้ง หรือประมาณ 33,000 บาท ถึง 825,000 บาท ซึ่งมักกู้ยืมกันผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือเว็บไซต์มาร์เก็ตเพลส

 

4. ปล่อยเช่าอาคาร สถานที่ 

การปล่อยเช่าอาคารหรือสถานที่ที่เราเป็นเจ้าของนับเป็นหนึ่งวิธีสร้างรายได้แบบ Passive Income ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยม ที่เห็นได้ชัดคือแพลตฟอร์ม Airbnb และ Vrbo ที่เป็นนายหน้าคอยหาลูกค้ามาให้เรา และช่วยทำให้การปล่อยเช่าสถานที่ดังกล่าวง่ายดายมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางข้อตกลงหรือการทำสัญญาที่รัดกุมก่อนทำงานปล่อยเช่า 

อย่างไรก็ตาม การหารายได้ในลักษณะนี้อาจไม่นับเป็น Passive Income หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เนื่องจากในระยะเวลาหนึ่งคุณอาจต้องจ่ายเงินเพื่อบูรณะ ซ่อมแซมบ้านหรืออาคารที่คุณปล่อยเช่า รวมทั้งค่าแรงของคนงาน หรือแม้กระทั่งค่านายหน้าผู้รับหน้าที่หาผู้เช่าให้คุณเช่นเดียวกัน

 

5. ค่าลิขสิทธิ์ (Royalties)

ค่าลิขสิทธิ์คือการหารายได้โดยนำสิ่งที่เราคิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเองไปขายให้ผู้ที่สนใจ หรือที่เรียกว่าการขาย-ให้เช่าทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ลิขสิทธิ์เพลง หนังสือ สิทธิบัตร หรือเครื่องหมายการค้า เป็นต้น โดยมากผู้ค้ามักจะได้เปอร์เซ็นต์จากยอดขายที่ผู้ซื้อสร้างขึ้นจากทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านั้น ทั้งนี้ จำนวนเงินที่สามารถทําได้ผ่านค่าลิขสิทธิ์จะขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์ และความถี่ที่ผู้ค้าใช้ผลิตภัณฑ์นั้น 

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นผู้ผลิตหนังสืออิสระ คุณก็สามารถปรับเปลี่ยนราคาหนังสือของคุณได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยไม่มีอุปสรรค ทว่าค่าลิขสิทธิ์เพลงนั้นค่อนข้างแตกต่าง ยกตัวอย่างเช่นคุณอาจได้รับเงินเพียงหนึ่งดอลลาร์จากการที่แพลตฟอร์มสตรีมเพลง เล่นเพลงของคุณถึง 250 ครั้งก็ได้ ทั้งนี้จำนวนเงินที่ได้รับก็ยังขึ้นอยู่กับชื่อเสียง ความโด่งดัง และการทำการตลาดอีกด้วย

 

6. ธุรกิจให้เช่ารถ

ธุรกิจนี้ค่อนข้างคล้ายกับการปล่อยเช่าห้องหรือปล่อยเช่าบ้าน ยกตัวอย่างเช่นแพลตฟอร์ม Turo ที่ให้คุณสามารถนำรถของคุณเข้าระบบของแพลตฟอร์มและปล่อยเช่าได้ตามเงื่อนไขของแพลตฟอร์ม ทั้งนี้เงินที่คุณจะได้รับก็ขึ้นอยู่กับสภาพรถ รุ่นของรถ และระยะไมล์เป็นต้น อย่างไรก็ตามการหารายได้ลักษณะนี้ยังมีค่าใช้จ่ายด้านการซ่อมรถ ค่าประกันรถ และค่าล้างรถเป็นต้นทุนอยู่ด้วยเช่นกัน

 

7. บัญชีออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและใบรับรองเงินฝาก

หลายปีที่ผ่านมา การฝากเงินไว้กับบัญชีธนาคาร หรือใบรับรองเงินฝาก (CDs) ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนให้เราได้มากจนถือเป็น Passive Income อย่างไรก็ตามสถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยในปี 2023 การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High-yield Savings) และ ใบรับรองเงินฝาก ให้ผลตอบแทนระหว่าง 3% - 5% ต่อปี  

โดยการลงทุนทั้งสองลักษณะท่ามกลางช่วงเวลาขณะนี้มาพร้อมกับประโยชน์ด้านการค้ำประกันเงินฝากจาก FDIC (แม้เจเน็ต เยเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐจะออกมาบอกว่าจะไม่รับประกันเงินฝากสำหรับประชาชนทุกรายแล้ววันนี้ (23 มี.ค.) ก็ตาม) และไม่ต้องกังวลเรื่องความผันผวนของตลาด (Market Volatility) นั้นหมายความว่าผู้ฝากเงินจะมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลตอบแทนคงที่โดยที่เงินต้นอาจยังคงอยู่อย่างปลอดภัย (?) สิ่งสําคัญคือ ใบรับรองเงินฝากมี ‘วันครบกําหนด’ และหากคุณถอนเงินออกก่อนครบระยะเวลา คุณอาจต้องเสียค่าปรับจากการกระทำดังกล่าว ซึ่งอัตราการหักขึ้นอยู่กับธนาคารเป็นผู้กำหนด 

นอกจากนี้บัญชีออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงส่วนใหญ่มีข้อจํากัด เกี่ยวกับจํานวนการโอนและถอนเงินในแต่ละเดือน

 

8. การตลาดแบบพันธมิตร (Affiliate marketing)

การตลาดแบบพันธมิตร คือ รูปแบบธุรกิจออนไลน์ที่ช่วยให้คุณได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการที่เปิดให้แบรนด์ สินค้าและบริการเข้ามาโปรโมตผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางของเรา ไม่ว่าจะเป็นสื่อสังคมออนไลน์ เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน เป็นต้น โดยหากมีผู้ใช้งานคลิกลิงก์หรือจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์ คุณก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นการกระทำดังกล่าว 

ด้านทิฟฟานี แกรนท์ ผู้เผยแพร่ความรู้ด้านการเงิน กล่าวว่า "ฉันชอบที่ฉันได้เงินจากการโฆษณาสินค้า ผลิตภัณฑ์และบริการที่ฉันรู้จักและชื่นชอบ” 

ทั้งนี้ รายได้ที่เกิดขึ้นผ่านการตลาดแบบดังกล่าวแตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรมและชื่อเสียงของแบรนด์ 

ตัวอย่างเช่นบริษัท ก. อาจจ่ายค่าบริการให้คุณอยู่ระหว่าง 5 ดอลลาร์ ถึง 25 ดอลลาร์ หรือประมาณ 165 บาท ถึง 825 บาท สําหรับผู้ใช้งานทุกคนที่กดเข้าไปลงทะเบียนผ่านลิงก์ของแพลตฟอร์มคุณ ในขณะที่บริษัท ข. อาจจ่ายมากถึง 75 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2,475 บาทต่อการคลิกลิงก์หนึ่งครั้ง 

 

9. สร้างคอร์สออนไลน์ หรือผลิตภัณฑ์ของตัวเอง

การศึกษาของ McKinsey & Co. ระหว่างปี 2011 ถึง 2021 ชี้ชัดว่าปัจจุบันประชาชนต้องการเข้าถึงหลักสูตรออนไลน์เพิ่มขึ้นจากเดิม 300,000 คน เพิ่มเป็น 220 ล้านคน ดังนั้นหากคุณมีทักษะที่ควรค่าแก่การสอน ก็สามารถหารายได้เสริมจากการถ่ายคลิปสอนในและเปิดหารายได้ในลักษณะนี้ได้ 

 

10. ปล่อยเช่าอุปกรณ์ต่าง ๆ 

หากคุณมีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ อยู่ที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็น เลื่อย สว่าน บันได หรือกล้องถ่ายรูป คุณสามารถปล่อยเช่าเป็นรายชั่วโมงได้ ซึ่งรูปแบบการหารายได้ลักษณะนี้คล้ายกับการปล่อยเช่ารถ หรือห้องชุดในข้อก่อนหน้า 

มาร์เก็ตเพลสออนไลน์ที่เปิดให้บริการหารายได้ลักษณะนี้ เช่น ShareGrid ตลาดสําหรับการเช่าอุปกรณ์ด้านกล้องถ่ายรูป รวมทั้ง Sparetoolz และ FriendWithA มาร์เก็ตเพลสสำหรับปล่อยเช่าอุปกรณ์ช่าง เป็นต้น 

ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ 26 มี.ค. 2566

 

เกี่ยวข้องกัน

อีกครั้งกับ Active และ Passive Income

กลับมาทบทวนความเข้าใจเรื่อง Active Income และ Passive Income ก่อนจะที่จะเริ่มมองหาช่องทางในการหาเงินช่วงภาวะวิกฤติแบบนี้ สิ่งสำคัญในวันนี้ถ้าเป็นไปได้อยากให้เริ่มกระจายความเสี่ยงของแอกทีฟอินคัมก่อน 

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน เรายังคงต้องใช้ชีวิตของเราอยู่กับการแพร่กระจายของไวรัสโควิทมากว่าสามเดือนแล้ว ทุกๆ คนต่างได้รับผลกระทบและต่างต้องปรับตัว ปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้ชีวิต หลายท่านต้องทำงานจากที่บ้าน และไม่มีใครทราบว่ามันจะจบอย่างไร? จะกลับมาใหม่อีกหรือไม่? แต่ที่แน่ๆ ทุกๆ ท่านต่างต้องเตรียมรับมือกับการใช้ชีวิตปกติแบบใหม่หรือที่เรียกว่า New Normal กัน 

วันนี้ผมอยากจะเขียนถึงเรื่องของ Active กับ Passive Income อีกสักครั้ง เริ่มต้นจากการทบทวนความหมายง่ายๆ ของรายได้ทั้งสองรูปแบบดู Active Income  หรือ รายได้ที่เราต้องใส่แรงกายเข้าไปเพื่อให้ได้รายได้นั้นมา เช่น รายได้จากเงินเดือนที่เราทำงานที่บริษัท 

ในขณะที่ Passive Income  คือรายได้ที่เราได้รับมาโดยไม่ต้องใส่แรงเข้าไป เช่น รายได้จากเงินปันผลของหุ้นที่เราไปลงทุนไว้ รายได้จากดอกเบี้ยของพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่เราลงทุนไว้ รายได้จากค่าเช่าห้องคอนโดที่เราซื้อเอาไว้ เป็นต้น หลายๆ ท่านล้วนอยากมี Passive Income  ทั้งนั้น ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่เพราะถือเป็นรายได้ที่เราจะได้รับโดยไม่ต้องออกแรงทำ 

คราวนี้เราจะลองมาดูในรายละเอียดของ Passive Income  ลงไปอีก สมมติว่าถ้าเราต้องการใช้เงินเดือนละสองหมื่นบาท และสมมติต่อว่าเรามีทางเลือก 3 ทางด้วยกันคือ ลงทุนในพันธบัตรที่ให้ดอกเบี้ยร้อยละ 2 หุ้นที่ให้ปันผลร้อยละ 4 ห้องคอนโดที่ให้เช่าได้เดือนละ 10000 บาท เราลองมาดูเงินทุนที่เราต้องลงทุนในสามทางเลือกนี้ดู 

เริ่มจากพันธบัตรถ้าเราต้องการดอกเบี้ยเดือนละ 2 หมื่นบาท (ปีละ 240,000 บาท) เราต้องมีเงินลงทุนทั้งสิ้น 12 ล้านบาท (12 ล้าน*2%) แต่ถ้าเราเลือกลงทุนในหุ้นที่ให้ปันผลร้อยละ 4 เราต้องลงทุนในหุ้นตัวนี้ทั้งสิ้น 6 ล้านบาท น้อยกว่าพันธบัตรเท่าตัว และท้ายสุดถ้าเราเลือกลงทุนในคอนโด สมมติว่าคอนโดห้องละ 3 ล้านห้าแสนเราต้องลงทุนทั้งสิ้น 7 ล้านบาท 

เหมือนว่าทางเลือกในการลงทุนในหุ้น แล้วรอกินเงินปันผล จะเป็นทางเลือกที่หลายคนจะเลือก เพราะใช้เงินน้อยที่สุด แต่ละทางเลือกมีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกัน ถ้าเราเลือกลงทุนในพันธบัตร แน่นอนว่าข้อดีคือความเสี่ยงต่ำ แต่ผลตอบแทนก็ต่ำไปด้วย โดยเฉพาะในยามวิกฤตเช่นนี้ ถือพันธบัตร (รัฐบาล) ไว้น่าจะอุ่นใจที่สุด 

ในขณะที่ลงทุนในหุ้นนั้นถ้าเราจะรอกินแต่ปันผลอย่างเดียวเรื่องความผันผวนของราคาหุ้นหรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่ได้กระทบต่อเรา แต่สิ่งที่เราต้องกังวลคือทิศทางของเงินปันผล ซึ่งแน่นอนมาจากการเติบโตของรายได้ ซึ่งโดยภาวะทั่วไปบริษัทมักจะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย ซึ่งจะทำให้เงินปันผลของเราเติบโตขึ้นเช่นกัน ข้อนี้หมายความว่าต่อไปในภายภาคหน้าเราจะได้รับเงินปันผลสูงขึ้นทำให้เรามีรายได้ต่อปีมากขึ้นตามผลประกอบการของบริษัท แต่ก็มีบางกรณีที่รายได้ของบริษัทปรับตัวลดลง ซึ่งถ้าเป็นแค่การปรับลดลงชั่วคราวก็แล้วไป 

แต่ถ้าเป็นการปรับแบบถาวร เช่น ธุรกิจสื่อ กระดาษ หรือภายใต้ภาวะโควิท เราไม่อาจแน่ใจได้ว่าหุ้นปันผลหลายตัวอาจได้รับผลกระทบในระยะยาวหรือไม่ สุดท้ายคือการลงทุนในห้องชุด ซึ่งมีข้อดีที่ลงทุนไม่มากและมีโอกาสที่ค่าเช่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือมูลค่าห้องชุดมีราคาสูงขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจหาผู้เช่าไม่ได้ เป็นต้น 

เมื่อดูจากตัวเลขเงินลงทุนแล้ว หลายคนคงต้องคิดว่าเราต้องรออีกนานกว่าเราจะมีเงินลงทุนเพียงพอหรือเงินลงทุนของเราจะเติบโตไปสู่การได้รับพาสสีฟอินคัมอย่างที่ต้องการ และแน่นอนว่าก่อนจะถึงจุดนั้นเราต้องมีรายได้จากแหล่งอื่น เช่นจากเงินเดือน

ดังนั้นในช่วงต้นกระแสเงินจาก Active Income  จะมีความสำคัญต่อเรามากกว่า และแน่นอนว่ารายได้แหล่งนี้มาจากเรา ซึ่งกว่าจะได้มาวันนี้เราต้องลงทุนร่ำเรียนมาหลายปี และเช่นเดียวกับการลงทุนอื่นๆ Active Income  ของเราก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ดังเช่นในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนแบบนี้ 

วันนี้ผมอยากฝากข้อคิดไว้ให้ท่านผู้อ่านว่า ถ้าเป็นไปได้อยากให้เราเริ่มกระจายความเสี่ยงของ Active Income  เช่น เริ่มต้นสร้างแหล่งรายได้ที่เราต้องลงแรง ไม่ว่าจะเป็นงานขายของออนไลน์ การจัดฝึกอบรมหรือให้ความรู้ การเขียนหนังสือ เป็นต้น และกิจกรรมเหล่านี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของ Passive Income ของเราในอนาคตอย่างดีได้เช่นเดียวกัน 

ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ

ความเห็นของผู้ชม

 แสดงความคิดเห็น