ค้นหา

เป็นหนี้ต้องมีวันจบ ; แนวคิด วิธีการแก้ไขปัญหาหนี้

ปัญหาหนี้ครัวเรือนส่งผลกระทบต่อสังคมไทยและเศรษฐกิจไทยมาเป็นเวลานาน ยิ่งเจอสถานการณ์โรคระบาดโควิด ยิ่งทำให้ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงร่วมมือกับหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน วางแนวทางในแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน 

สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เป้าหมายการแก้หนี้ครัวเรือนไม่ได้คำนึงแต่เพียงตัวเลขหนี้ที่ลดลงเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือ การคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของลูกหนี้ที่ไม่แย่ลง มีความสุขขึ้นด้วย” 

สุวรรณีกล่าวว่า สถานการณ์โควิดซ้ำเติมให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยเด่นชัดขึ้นมา เพราะกระทบต่อรายได้ ทำให้ครัวเรือนไทยต้องกู้หนี้ ทำให้มีหนี้เพิ่ม ส่วนผู้ที่มีหนี้เดิมอยู่ ก็ไม่มีรายได้มาจ่ายหนี้ รวมถึงการมีโครงการหมอหนี้ ที่ทำให้ได้เป็นหมอหนี้ไปนั่งคุยกับลูกหนี้ ทำให้นอกจากปัญหาเรื่องตัวเลขหนี้แล้ว ยังส่งผลต่อการดำรงชีวิตของลูกหนี้แต่ละคนอย่างมาก สถานการณ์อย่างนี้อาจจะเป็นตัวฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต เพราะว่าคนมีรายได้มาก็เอามาจับจ่ายใช้สอย เศรษฐกิจก็เฟื่องฟูขึ้น แต่กลายเป็นว่าได้รายได้มา ถูกหักหนี้ ไม่สามารถเอามากินมาใช้ได้ กลายเป็นว่าเศรษฐกิจอาจจะไม่โตในอนาคต 

นอกจากนี้ ถ้าคนเป็นหนี้จำนวนมากๆ ไม่ชำระหนี้กลายเป็นหนี้เสีย ก็จะกระทบกับระบบการเงิน สุดท้ายคือจะก่อให้เกิดปัญหาอื่น ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของสังคม เพราะเวลาคนมีปัญหาจ่ายหนี้ไม่ได้ อาจจะทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรม รวมถึงในอนาคตที่ไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีค่าใช้จ่ายในการดูแลปัญหาสุขภาพต่างๆ จึงเป็นที่มาให้ ธปท. ร่วมกับหลายหน่วยงานในการเข้ามาแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้ได้อย่างยั่งยืนตั้งแต่ปี 2563 ทั้งกระทรวงการคลัง ภาครัฐอื่นๆ เจ้าหนี้สถาบันการเงิน เจ้าหนี้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือนอนแบงก์ ที่เข้ามาช่วย 

สุวรรณีกล่าวว่า โดยข้อเท็จจริงแล้ว การเป็นหนี้ไม่ได้เป็นเรื่องผิดเสมอไป เรื่องหนี้มีคีย์เวิร์ด 2 เรื่อง คือ

      1. เป็นหนี้ที่อยู่ในวิสัยที่จะชำระหนี้ได้ และ

      2. เป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดอะไรในอนาคต เช่น ได้ทรัพย์สินมา หรือเอาไปประกอบอาชีพ หรือเป็นอุปกรณ์เลี้ยงชีพ ก็เป็นสิ่งที่ดี 

โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยเมื่อเทียบกับผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) เมื่อเทียบกับหลายประเทศอาจจะแตกต่างกัน บางประเทศมากกว่า 100% บางแห่ง 80% เศษ ใกล้เคียงกับไทย หรือ 60% ก็มี แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจน คือ หนี้บ้าน ที่ ธปท. ไม่ห่วง เพราะกู้มาแล้วยังมีทรัพย์สิน เป็นทรัพย์สินที่สามารถนำไปทำอะไรได้ในอนาคต ของไทยมีอยู่ราว 30% ขณะที่หลายประเทศมีสัดส่วน 50-60% ส่วนหนี้ที่ ธปท. กังวลมี 3 กลุ่มที่ต้องแก้ไข คือ 

1. หนี้ที่เสีย เวลาเราคุยกันเรื่องประวัติข้อมูลเครดิต จะพูดถึงหนี้ที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) แล้ว กลุ่มนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ ธปท. ต้องแก้ และพยายามทำมาโดยตลอดในช่วงโควิดที่ผ่านมา 

2. หนี้ที่ ธปท. กังวลอีกตัว คือ หนี้ที่เรียกว่าหนี้เรื้อรัง คือยังไม่ใช่หนี้เสีย ยังจ่ายหนี้อยู่ แต่จบไม่ได้ อย่างหนี้บัตรเครดิต ตามเกณฑ์ปกติ ถ้ารูดไป 100 บาท ต้องจ่ายเดือนละ 10 บาท ถ้าจ่ายแบบนี้ 10 เดือนต้องหมดหนี้ แต่ช่วงโควิดที่ผ่านมา ธปท. รู้ว่าคนมีรายได้น้อย ก็มีการผ่อนปรนหลักเกณฑ์ว่า จ่าย 5% แปลว่า รูด 100 บาท จ่าย 5 บาท เท่ากับ 20 เดือนต้องหมด แต่ในความเป็นจริง พอรูดบัตรแล้ว มีการจ่ายขั้นต่ำแล้ว ก็เอาบัตรไปรูดต่ออีก ทำให้หนี้ทับไปเรื่อยๆ จ่ายขั้นต่ำอย่างไรก็ไม่หมด เราเรียกหนี้แบบนี้ว่าหนี้เรื้อรัง แม้ยังไม่เป็นหนี้เสีย แต่จบไม่ได้ สิ่งที่กังวลคือ มันจะทำให้คนเป็นหนี้ไม่รู้จักจบสิ้น หลายคนพูดว่าเป็นหนี้จนแก่ 

3. อีกกลุ่มหนึ่งที่กังวล คือ หนี้ใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะน้องๆ ที่เพิ่งจบการศึกษามา จากตัวเลขในเครดิตบูโร พบว่าน้องที่เรียนจบใหม่ๆ เริ่มต้นวัยทำงาน อายุประมาณ 25-29 ปี เกินกว่าครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 58% เริ่มเป็นหนี้แล้ว และในจำนวนคนที่เป็นหนี้แล้ว 58% นี้ มี 25% ที่มีภาวะอาจจะกลายเป็นหนี้เสีย ขณะที่น้องๆ กลุ่มใหม่นี้ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต แต่จบการศึกษาแล้วก็เริ่มเป็นหนี้เลย เรียกว่าสร้างความยากลำบากตั้งแต่เด็กเลย 

สำหรับแนวทางในการแก้ไขนั้น จะเริ่มจากกลุ่มที่เป็นหนี้เสียก่อน โดย ธปท. และกระทรวงการคลังได้ออกมาตรการมาโดยตลอด ตั้งแต่ช่วงต้นที่โควิดเริ่มระบาด ก็ออกมาตรการบรรเทาภาระแบบปูพรมกว้าง ด้วยการพักชำระหนี้ ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะกับสถานการณ์ที่หนักและจบในระยะเวลาที่สั้น เมื่อรู้แล้วว่าโควิดจะอยู่อีกนาน ก็มีการปรับเปลี่ยน จนท้ายที่สุด มีการออกมาตรการแก้หนี้ระยะยาวอย่างยั่งยืน คือ ให้เจ้าหนี้ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินของรัฐ รวมถึงนอนแบงก์ เข้าไปดูแลและเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ในระยะยาวกับลูกหนี้ เพื่อแก้กลุ่มคนที่เป็นหนี้เสีย และคนที่จะจ่ายหนี้ไม่ได้ 

มาตรการนี้ยังผลักดันอย่างเข้มข้นกับเจ้าหนี้ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. ทั้งหมด การแก้หนี้อย่างยั่งยืนนี้ ใช้ได้ทั้งหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้บัตรเครดิต หนี้บ้าน หนี้รถ หรือหนี้ธุรกิจก็ได้ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากช่วงที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ ยังมีหนี้กลุ่มอื่นๆ ที่จะต้องผลักดันต่อไป โดยจะดูตลอดวงจรของการเป็นหนี้ ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้ ระหว่างเป็นหนี้ และหลังจากเป็นหนี้แล้วและหนี้มีปัญหา สิ่งที่ต้องผลักดัน คือ หลักการ responsible lending ที่ใช้กับทั้งสองฝั่ง คือ ฝั่งเจ้าหนี้ responsible lending กับฝั่งลูกหนี้ responsible borrower คือทั้งสองฝั่งต่างมีหน้าที่ ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้ ระหว่างเป็นหนี้ กำลังจะกู้แล้ว รวมถึงกู้ไปแล้ว โดยฝั่งเจ้าหนี้ก็ต้องให้ความรู้ ให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เพราะปัญหาหนึ่งที่พบจากข้อร้องเรียนที่ส่งเข้ามาที่ ธปท. คือ ลูกหนี้ไม่เคยทราบเรื่องดอกเบี้ย ตอนเป็นหมอหนี้ ได้ให้ลูกหนี้ลิสต์ออกมาว่า มีหนี้อะไรบ้าง อัตราดอกเบี้ยเท่าไหร่ ปรากฏว่า ลูกหนี้ไม่ทราบว่าแต่ละสินเชื่อมีอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน ทำให้เขาบริหารจัดการไม่ได้ว่า ถ้ามีเงินก้อนหนึ่งไม่พอที่จะจ่ายทั้งหมด แล้วควรจะไปจ่ายหนี้ที่ดอกเบี้ยแพงก่อนหรือเปล่า 

ฉะนั้น เรื่องแรกเลย ก่อนจะเป็นหนี้ ฝั่งเจ้าหนี้ควรให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้อง ไม่กระตุ้นให้ก่อนหนี้จนเกินสมควร ต้องดูแลการโฆษณาทั้งหลาย ฝั่งลูกหนี้ก็เช่นกัน ก็คาดหวังว่า ลูกหนี้เอง ก่อนจะกู้ก็ต้องรู้ว่า จะใช้เงินเพื่อทำอะไร เมื่อกู้แล้วภาระต่อเดือนเป็นเท่าไหร่ ลูกหนี้ต้องมาประเมินสภาพรายได้ของตัวเอง ว่ารายได้ต่อเดือนที่มีอยู่ หักค่าใช้จ่าย อย่างค่าเช่าบ้าน ค่าเดินทางแล้ว เหลืออยู่เท่าไหร่ ส่วนหนึ่งเราเก็บออม แล้วจะเหลือมาชำระหนี้ต่อเดือนเท่าไหร่ เพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของเรา ว่าผ่อนไหว ผ่อนไม่ไหว นี่คือก่อนเป็นหนี้ 

ลำดับต่อมา คือระหว่างเป็นหนี้ ในส่วนลูกหนี้ ก็อยากให้พยายามที่จะจ่ายหนี้ให้หมด ตัวอย่างเรื่องหนี้บัตรเครดิต ก่อนจะรูดบัตร ก็ดูว่า จะชะลอการใช้จ่ายบางอย่าง หยุดซื้อมือถือเครื่องใหม่เพื่อจ่ายหนี้เดิมไปก่อนดีมั้ย ฝั่งเจ้าหนี้ก็เช่นกัน ต้องให้ข้อมูลถูกต้องครบถ้วนว่า ถ้าลูกหนี้ผ่อนไปเรื่อยๆ ดอกเบี้ยที่จะสะสมมาจะเป็นอย่างไร รวมถึงให้ข้อมูลที่ถูกต้องว่า เมื่อมีการจ่ายหนี้แล้วจะตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ยอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของลูกหนี้ ว่าจะตัดสินใจจ่ายหนี้ จ่ายค่างวดอย่างไร รวมถึงกลุ่มที่ต้องยอมรับว่า จะมีปัญหาเกิดขึ้น ฝั่งลูกหนี้ก็ต้องรู้ว่า เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น อย่าหนี หรือทิ้ง ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ติดต่อ อยากให้ลูกหนี้กล้าที่จะไปหาเจ้าหนี้ ฝั่งเจ้าหนี้ก็เช่นกัน เมื่อลูกหนี้มีปัญหา เจ้าหนี้ต้องมีข้อเสนอแนะ ข้อแนะนำ จะปรับโครงสร้างหนี้ จะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขชำระหนี้อย่างไร จากวันแรกที่ปล่อยกู้ไป เมื่อมีปัญหาก็ต้องไม่ทิ้งลูกหนี้ ต้องช่วยเหลือ ฉะนั้น ตลอดเส้นทางของการเป็นหนี้ ฝั่งเจ้าหนี้ต้องทำเพิ่มเติมในสิ่งเหล่านี้เพื่อให้อยู่กับหนี้ไปได้อย่างยั่งยืน 

สำหรับการเป็นหนี้ของเด็กรุ่นใหม่ ยอมรับว่า แก้ยาก จุดหนึ่งที่ต้องผลักดัน คือ ฝั่งเจ้าหนี้ เรื่องการกระตุ้นผ่านโฆษณา “ของมันต้องมี” ตอนนี้เริ่มคุยกับเจ้าหนี้แล้วว่าโฆษณาบางอย่างอาจจะไม่เหมาะสมที่จะเอามาใช้ มีการกระตุ้นมากเกินไป เช่น ของมันต้องมี หรืออยากไปเที่ยวต่างประเทศ เพียงทำบัตรนี้ใบหนึ่งก็สามารถบินไปได้ การกระตุ้นแบบนี้อาจสร้างค่านิยมบางอย่างให้กับสังคมไทย แต่ก็ต้องบอกว่ายาก”

สุวรรณีกล่าวว่า ในการแก้หนี้ครัวเรือนนั้น ธปท. มีหลักการในการทำงานและมีความชัดเจน ว่า 

1. เป็นการแก้ไขอย่างครบวงจร ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้ กำลังจะเป็นหนี้ ระหว่างเป็นหนี้ และเมื่อเป็นปัญหา
2. ทำให้ถูกหลักการ คือ ต้องแก้หนี้ให้ตรงจุด อย่าเหวี่ยงแห มาตรการต่างๆ ที่ใช้ต้องให้เหมาะกับสถานการณ์ อย่างตอนแรกใช้มาตรการพักหนี้วงกว้าง เป็นมาตรการที่หนักและสั้น แต่ถ้าระยะยาวแล้วยังพักหนี้วงกว้าง จะเริ่มมีปัญหาสะสมในระบบขึ้น เพราะลูกหนี้จะอมหนี้ไว้ ฝั่งเจ้าหนี้ก็ไม่มีเงินไปปล่อยหนี้ต่อ หรือการทำอะไรที่ลดโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อ เช่น ข้อเสนอให้ลบประวัติหนี้เสีย เป็นต้น และ
3. ต้องร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพราะนอกจากหนี้ในระบบแล้ว ยังมีหนี้นอกระบบ หนี้ที่อยู่กับหน่วยงานรัฐแต่ละที่ เช่น หนี้ของนักศึกษาที่กู้ กยศ. (กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา) หรือหนี้สหกรณ์ เป็นต้น ทำให้หนี้ของคนไทยมีหลายมิติมาก
 

สำหรับเจ้าหนี้ในส่วนแบงก์นั้น เท่าที่คุยกันมาตลอด ไม่มีใครอยากให้เป็นหนี้เสีย แต่ในการทำธุรกิจจะมีเรื่องรายได้ เรื่องค่าใช้จ่าย สิ่งที่ ธปท. คุยกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้มาตลอด และแบงก์เองก็บอกว่า ถ้าแบงก์ไม่ช่วยลูกหนี้ แบงก์ก็ไม่รอด คือ ถ้าลูกหนี้ไม่รอด แบงก์ก็ไม่รอด เพราะเงินที่รับฝากมา เอาไปปล่อยกู้ ถ้าเขาไม่ได้เงินจากขาปล่อยกู้ ก็จะไม่มีเงินคืนผู้ฝาก วงจรนี้จึงไปด้วยกัน ผู้ฝากเอาเงินมาให้แบงก์ปล่อยกู้ โดยหวังว่าจะได้เงินนั้นกลับคืนด้วย ฉะนั้น เวลาที่เราดูเรื่องนี้ ก็ต้องให้สมดุลกันทั้งสองด้าน และแบงก์ก็รู้ว่า ถ้าปล่อยให้เป็นหนี้สูญ จะเป็นต้นทุนกับเขามากกว่า 

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงมีการผลักดันอย่างหนักมากในการให้แบงก์เข้าไปปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ ส่วนฝั่งลูกหนี้ เดิมอาจจะไม่คุ้นชิน ไม่รู้ว่าการเข้ามาติดต่อกับแบงก์เป็นอย่างไร แต่จากมาตรการที่ผ่านมา ทำให้มีการปรับช่องทางการเข้าหาแบงก์ จากเดิมที่ต้องไปที่สาขา แต่หลังจากโควิด ทำให้การติดต่อกับแบงก์สะดวกกว่าเดิม ยกหูหาคอลเซนเตอร์ หรือแอปพลิเคชันหลายธนาคารเปิดช่องทางให้ลูกหนี้เข้าไปขอทำเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ผ่านแอปพลิเคชันได้ เป็นต้น”

สุวรรณีกล่าวว่า เป้าหมายของการแก้หนี้ ให้ลูกหนี้กลับมาเป็นหนี้มีคุณภาพ เป็นหนี้เมื่อจำเป็น หรือเป็นหนี้ที่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ ไม่เป็นหนี้เรื้อรัง คือ จ่ายได้ไม่หมด แล้วจมกองหนี้ จนเกิดเป็นหนี้เสีย หรือเป็นหนี้ที่สามารถได้อะไรกลับมาในอนาคต โดยกลุ่มที่กังวล คือกลุ่มเป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ที่ได้สินค้าฟุ่มเฟือยหรืออะไรบางอย่าง โดยหลักสำคัญ คือ เป็นหนี้แล้วสามารถจ่ายชำระหนี้นั้นได้ เป็นหนี้ด้วยสาเหตุความจำเป็น

สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลนั้น นอกจากการให้เจ้าหนี้ปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ และลูกหนี้มีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจกู้แล้ว ธปท. จะเปิดให้เจ้าหนี้มีข้อมูล หรือ open data เพื่อให้การพิจารณาสินเชื่อต่อไปจะไม่ได้ดูรายได้อย่างเดียว แต่มี alternative data หรือมีข้อมูลที่สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางเพื่อประกอบการพิจารณาสินเชื่อได้ ส่วนหนึ่งจะช่วยพวกกู้หนี้นอกระบบเข้ามาใช้สินเชื่อในระบบได้ รวมทั้ง กำลังผลักดันให้มีการคิดค่าใช้จ่ายตามความเสี่ยงของลูกค้าที่แตกต่างกันไป จากปัจจุบัน มีการกำหนดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล ส่วนหนึ่งเพื่อไม่ให้คิดดอกเบี้ยเลยเถิดไป แต่ก็ทำให้ลูกหนี้บางรายเข้ามาในระบบไม่ได้ เพราะความเสี่ยงเกินกว่าเพดานที่ ธปท. กำหนด จึงอยู่ระหว่างศึกษา ภายใต้หลักการที่ว่า เสี่ยงน้อยจ่ายน้อย เสี่ยงมากจ่ายมาก กลุ่มหลังนี้อาจจะต้องจ่ายเกินเพดานจึงจะเข้าถึงได้ แต่ต้องเกินเพดานในระดับที่เหมาะสมด้วย โดยเจ้าหนี้ต้องมีโมเดลในการแยกแยะความเสียงที่แตกต่างกันของลูกหนี้แต่ละกลุ่ม แล้วกำหนดราคาที่แตกต่างกัน โดยหวังว่า ลูกหนี้สามารถกู้ในระบบได้แม้จะเกินเพดาน แต่ก็ดีกว่าไปกู้นอกระบบ

เคยมีการร้องเรียนว่า ดอกเบี้ยสูงถึง 20% ต่อเดือน เท่ากับปีละ 240% หรือบางกรณี ให้กู้ 1 หมื่นบาท ผ่อนวันละ 100 บาท แต่ไม่เคยตัดเงินต้นเลย คิดดอกเบี้ยไม่ถูกกันเลย เคยคำนวณกับลูกหนี้รายหนึ่ง ออกมาเป็นพันเปอร์เซ็นต์ต่อปีเลย มันโหดร้ายเหมือนกัน เพราะเขาไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ จึงตั้งใจจะเปิดโอกาสนี้ให้ แต่ต้องชัดเจนว่า แบงก์ต้องแยกแยะความเสี่ยงแต่ละคนได้จริง โดย ธปท. คิดว่าต้องทแซนด์บ็อกซ์ หรือสนามจำลองว่า โมเดลที่แบงก์ทำแล้วมีลูกหนี้กลุ่มตัวอย่างเข้ามา สามารถแยกแยะความเสี่ยงน้อยเสี่ยงมากของลูกหนี้ได้จริงหรือไม่ เพราะ ธปท. ก็ไม่อยากเห็นสิ่งที่เคยเกิดในอดีตที่ดอกเบี้ย 100% เราไม่อยากเห็นแบบนั้น โดยสามารถดูข้อมูลจากเครดิตบูโรได้ว่า มีผู้ที่กู้นอกระบบเข้ามากู้ในระบบหรือไม่ เพราะผู้ที่ไม่เคยกู้ในระบบเลย เมื่อแบงก์ปล่อยกู้ ชื่อก็จะเข้ามาในฐานข้อมูล ผู้กำหนดนโยบายก็จะรู้ว่า มาตรการที่ทำ ทำให้คนที่ไม่เคยมีหนี้ในระบบเข้ามาในระบบได้จริงหรือไม่จริง”

สุวรรณี กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน แม้จะตั้งเป้าไว้ที่ 80% ของจีดีพี ซึ่งเป็นตัวเลขที่บีไอเอส (Bank for International Settlements) เห็นว่าเป็นระดับที่เหมาะสม ถ้าเกินกว่านี้ก็ต้องระมัดระวัง เท่ากับไทยต้องลดหนี้ลงประมาณ 1 ล้านล้านบาท จากหนี้ครัวเรือนที่มีอยู่ 14 ล้านล้านบาท หรือ 86.8% ของจีดีพีในปัจจุบัน ถือเป็นจำนวนที่ไม่น้อย แต่ต้องการให้หนี้กลับมาเป็นหนี้ที่มีคุณภาพด้วย โดยการแก้ 3 กลุ่ม กลุ่มหนี้เสีย กลุ่มหนี้เรื้อรัง และกลุ่มหนี้ใหม่ที่กำลังเพิ่ม โดยมาตรการที่ออกไป กว่าคนจะซึมซับกลับมาเป็นหนี้คุณภาพได้ต้องใช้เวลา รวมทั้งการดึงให้คนที่กู้นอกระบบกลับมากู้ในระบบ จะทำให้ตัวเลขหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ถือว่าทำมาตรการล้มเหลว

นอกจากนี้ ยังเป็นการจัดโครงสร้างการเป็นหนี้ให้มีความยั่งยืน ทำให้เป็นหนี้บ้านมากกว่านี้ เป็นหนี้ธุรกิจ หรือหนี้ที่ได้รถ มากกว่าสินเชื่อส่วนบุคคล น่าจะเหมาะสมกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้กู้ยากขึ้น เพียงแต่อยากให้เจ้าหนี้และลูกหนี้พิจารณาไม่ปล่อยแบบเกินเลย หรือปล่อยแล้วจ่ายคืนไม่ได้ ต้องมองไปถึงคุณภาพชีวิตของลูกหนี้ด้วยว่า เมื่อปล่อยหนี้และตัดส่วนที่ชำระหนี้แล้ว ลูกหนี้มีรายได้เพียงพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ คือดู affordability ของลูกหนี้ว่ามีความสามารถในการจ่ายหนี้เพียงพอหรือไม่ ฉะนั้น คงไม่ได้ทำให้เข้มมากขึ้น แต่ให้กู้มีคุณภาพที่ทำให้คุณภาพชีวิตของลูกหนี้ไม่แย่ลง

ตัวเลข 80% ธปท. ไม่ได้ยึดมันมาก เพราะถ้าสามารถช่วยให้คนที่อยู่นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบได้ จะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น และยอดหนี้ครัวเรือน 14 ล้านล้านบาทคงยังไม่ลง เพราะยังมีการก่อหนี้อยู่ รวมทั้งมีผู้ประกอบธุรกิจมากขึ้นจากการใช้ Alternative Data ต่าง ๆ จะทำให้คนเข้ามาในระบบมากขึ้น แต่สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีจะทยอยปรับลดลงได้จากการที่เศรษฐกิจเติบโตขึ้น โดยประมาณการณ์ว่า ถ้าไม่ทำอะไรเลย แต่จีดีพีที่โตขึ้นจะทำให้หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 84% ในปี 2570 แต่นี่เป็นเพียงตัวเลข สิ่งที่ ธปท. และทางการต้องการมากกว่า คือคุณภาพชีวิตของลูกหนี้ ถ้าเขาเป็นหนี้เสีย เขาก็จะไม่มีความสุขในชีวิต”

 

ซีรีส์ “เป็นหนี้ต้องมีวันจบ” นำเสนอแนวคิด วิธีการแก้ไขปัญหาหนี้ จากผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งประสบการณ์ตรงของลูกหนี้ที่แก้ไขปัญหาหนี้สำเร็จและไม่สำเร็จ ให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข เพื่อให้ลูกหนี้ที่ยังมีภาระหนี้มีช่องทาง วิธีการแก้หนี้ มองเห็นทางออก มีความหวัง เพื่อเป็นพลังให้ต่อสู้ชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต ซีรีส์นี้ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือลูกหนี้ภาคประชาชนครบวงจร 

ในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะหลังเกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการออกมาตรการหลายมาตรการ ไปพร้อมกับการจัดเก็บข้อมูล รวมถึงการแยกแยะและวิเคราะห์ข้อมูลหนี้ครัวเรือน เพื่อให้การแก้ไขเป็นไปอย่างเป็นระบบและมีความยั่งยืน 

จิตเกษม พรประพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายคุ้มครองและส่งเสริมความรู้ผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. กล่าวว่า โครงการที่ธปท.มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหนี้ เช่น ทางด่วนแก้หนี้ เพื่อรับเรื่องต่าง จากผู้ที่เดือดร้อนเรื่องหนี้จากสถาบันการเงินที่อยู่ในกำกับดูแลของธปท. และในช่วงเดือนกันยายน 2565 – มกราคม 2566 ธปท.ได้ร่วมกับกระทรวงการคลัง สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสถาบันการเงินอื่น ๆ ด้วย จัดมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” เดินสายจัดมหกรรมทั้งในกรุงเทพ ขอนแก่น เชียงใหม่ ชลบุรี และสงขลา 

ผมในฐานะที่ดูแลโครงการได้ร่วมรับฟังปัญหาลูกหนี้ที่เข้ามาแก้ไขหนี้ และให้ลูกหนี้ดูวิธีการแก้ไขปัญหาหนี้สิน จากผู้ที่เข้ามาในบูธ ธปท.ประมาณ 1,000 กว่าคน ส่วนใหญ่พบว่า มีปัญหาหนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หรือ clean loan(หนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน) รวมทั้งส่วนใหญ่เป็นหนี้หลายรายการ มีบัตรเครดิตหลายใบ ตัดบัญชีในหลายสถาบันการเงิน ปัญหา คือ หมุนจ่ายเจ้าหนี้แต่ละแห่งไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถหยุดก่อหนี้ได้”

สาเหตุมาจากรายได้ที่ลดลงจากโควิด สภาพเศรษฐกิจที่ทำให้บางคนต้องเปลี่ยนงาน มีรายได้ลดลงหรือตกงานเลยก็มี ไม่สามารถชำระหนี้ตามปกติได้ แต่ก็มีบางส่วนที่กู้เกินความจำเป็น เช่น รายได้ 2 หมื่นบาท แต่มีการผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ผ่อนสินเชื่อต่าง ๆ จำนวน 1.5 หมื่นบาท นี่เป็นตัวอย่างคือรายได้ 2 หมื่น ผ่อน 1.5 หมื่น เหลือ 5 พันซึ่งคงไม่พอใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ก็ต้องไปกู้เพิ่มจากบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด มาหมุนใช้จ่ายในแต่ละเดือน แล้วก็ชำระหนี้ด้วย มีอีกไม่น้อยที่กู้นอกระบบเพื่อมาชำระหนี้ ซึ่งหนี้นอกระบบดอกเบี้ยก็สูง ทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้ไม่ง่ายเลย ยากด้วยซํ้าไป 

นอกจากนี้ ยังมีกระทรวงศึกษาธิการที่ให้คำปรึกษาหนี้ครู ก็พบในอีกลักษณะหนึ่ง คือครูที่เข้ามาขอคำปรึกษาส่วนใหญ่เป็นหนี้สินเชื่อสหกรณ์ครูตามเขตพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งสินเชื่อ ชคพ. (โครงการเงินสวัสดิการช่วยเหลือและสงเคราะห์ครูสมาชิกและครอบครัว) ปัญหาที่พบคือกู้เงินเยอะ และกู้เพิ่มเรื่อย ๆ ทำให้ภาระหนี้จ่ายต่อเดือนสูง บางส่วนก็ใช้บัตรเครดิตของสถาบันการเงินหรือใช้สินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มเติม ที่สำคัญคือ มีการจ่ายขั้นตํ่าเป็นเวลานาน ทำให้แก้ไขหนี้ยาก 

ธปท.ในฐานะผู้ให้คำแนะนำ ก็จะแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาการเงิน ปัญหาหนี้สิน ควรจะมีลำดับอย่างไร โดยจะแนะนำหลักการว่า สินเชื่อแต่ละประเภท ต้องดูว่าคิดดอกเบี้ยอย่างไร เช่น บัตรเครดิต คิดดอกเบี้ย 16% ต่อปี สินเชื่อส่วนบุคคล ดอกเบี้ย 25% ถ้าเป็นหนี้แล้วควรชำระหนี้ลำดับอย่างไร หรือสินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 6-7% บางคนไม่เข้าใจ เขารักบ้าน จะมุ่งจ่ายแต่หนี้บ้าน แต่กลับปล่อยให้บัตรเครดิตกลายเป็นหนี้เสีย คือเขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ถ้าบัตรเครดิตปล่อยให้เป็นหนี้เสียไปแล้ว ถ้าสถาบันการเงินฟ้องร้องแล้วไม่มีเงินไปชำระได้ตามการบังคับคดี ก็สามารถมายึดบ้านได้ จึงต้องให้คำแนะนำให้เขาเข้าใจ โดยให้เลือกลำดับวิธีการชำระหนี้ก่อน อะไรที่ดอกเบี้ยแพง ก็เลือกจ่ายก่อน เป็นต้น รูปแบบนี้เราเรียกกันเองว่า หมอหนี้ 

อย่างไรก็ตาม จิตเกษม กล่าวว่า ธปท.ได้เคยวิเคราะห์ปัญหาหนี้ พบว่า คนไทยเป็นหนี้เร็ว เป็นหนี้เยอะ เป็นหนี้นาน และเป็นหนี้เสีย

·      เป็นหนี้เร็ว หมายความว่า เป็นหนี้ตั้งแต่อายุน้อย ที่ไม่ใช่อายุน้อยร้อยล้าน แต่เป็นอายุน้อยร้อยหนี้ เป็นคนรุ่น Gen Z คือวัยเริ่มทำงาน อายุ 25-29 ปี กลุ่มนี้มีประมาณ 4.8 ล้านคน และเกือบ 58% ของคนกลุ่มนี้เริ่มกู้ เป็นหนี้ตั้งแต่อายุน้อย เป็นหนี้บัตรเครดิต คลีนโลน แล้วก็กู้ซื้อยานพาหนะ และใน 58% นี้ได้กลายเป็นหนี้เสียแล้ว 1 ใน 4 อีกด้วย

·      เป็นหนี้เยอะ คือ บางคนมีบัตรหลายใบรูดเพื่อใช้จ่าย ใช้จ่ายเสร็จก็กู้ซํ้า กู้บัตรนี้ไปจ่ายบัตรนั้น หมุนเวียนไป แล้วมีหลายบัญชี ปรากฏว่า คนเหล่านี้กู้ถึง 10-25 เท่าของรายได้ ถ้าเป็นประเทศอื่นจะราว ๆ 5-12 เท่า คือครึ่งหนึ่งของรายได้ แต่คนไทยเป็นหนี้เยอะ 10-25 เท่าของรายได้ เพราะมีการปล่อยเยอะ ตอนยื่นกู้แรก ๆ ก็มีประวัติดี ไม่มีหนี้เสีย ก็ยื่นกู้ได้เยอะ

·      เป็นหนี้นาน โดยพบว่าอายุมากกว่า 60 ปีแล้วยังเป็นหนี้อยู่เฉลี่ยรายละประมาณ 4 แสนกว่าบาท พออายุมาก เกษียณอายุแล้ว รายได้ไม่เหมือนเดิม ความสามารถในการชำระหนี้ก็ย่อหย่อนลงไป

·      สุดท้าย เป็นหนี้เสีย โดยช่วงเกิดโรคระบาดโควิด เกิดหนี้เสียจำนวนมาก จากข้อมูลเครดิตบูโร พบว่าเงินกู้ 82 ล้านบัญชี เป็นหนี้เสีย 10 ล้านบัญชี ในจำนวนนี้มี 4.5 ล้านบัญชีที่เป็นหนี้เสียช่วงเกิดโควิด โดย 4.5 ล้านบัญชีเป็นหนี้ที่อยู่ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 70% จึงอยากฝากประชาสัมพันธ์ด้วยว่า ถ้าเป็นหนี้เสียช่วงที่เกิดโควิดและยังอยู่กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจขอให้มาปรับโครงสร้างหนี้ เวลาเศรษฐกิจดีจะได้ไม่ติดขัดอะไรถ้าจะลงทุนทำมาหากิน

 

 

 

 


ถ้าถามว่าสะเทือนใจกับผู้กู้อาชีพไหนมากที่สุด ถ้าแบ่งผู้กู้เป็นกลุ่ม คือ กลุ่มพนักงานเอกชน กลุ่มข้าราชการ และกลุ่มอาชีพอิสระ

·      กลุ่มพนักงานเอกชน ก็จะเป็นกลุ่มที่เพิ่งทำงาน (first jobber) ที่กู้ค่อนข้างเยอะ ต้องใช้จ่ายเยอะ และเป็นหนี้บัตรเครดิตตามกระแส “ของมันต้องมี” โทรศัพท์ก็ต้องไอโฟน 14 ตอนนี้เริ่มมีทัวร์โปรไฟไหม้ เที่ยวก่อน ผ่อนทีหลัง ที่เริ่มเยอะ ถ้าผู้กู้มีรายได้สมํ่าเสมอ ก็ไม่เป็นไร แต่ที่ผ่านมา รายได้ขาดหาย ก็จะทำให้ความสามารถในการขำระหนี้ด้อยลงไป โดยพนักงานเอกชนในกลุ่มที่อายุน้อย น้องๆ ที่เพิ่งเข้าทำงาน และอยู่ในภาคเอกชน และเป็นหนี้บัตรกดเงินสด บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล พวกนี้ ถ้านำมาใช้จ่ายเพื่อการตั้งตัว ก็จะเป็นหนี้ที่มีประโยชน์ แต่ถ้าใช้จ่ายเกินตัว แล้ววันไหนความสามารถในการชำระหนี้ด้อยลง ก็จะพาไปเป็นหนี้ด้อยคุณภาพได้ ก็อยากให้มาเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ เพื่อจะได้แก้ไขตัวเอง 

·      กลุ่มข้าราชการ กลุ่มนี้แม้จะมีรายได้สมํ่าเสมอ แต่รายได้ไม่ได้เยอะ และมีภาระค่อนข้างมาก เช่น ถ้าเป็นครู และเป็นสมาชิกสหกรณ์ด้วย ก็กู้จากสหกรณ์ พอมีตำแหน่งสูงขึ้น อายุงานมากขึ้น เงินเดือนสูงขึ้น สหกรณ์ก็ให้กู้เพิ่มขึ้น สินเชื่อสวัสดิการพวกนี้จูงใจให้กู้เพิ่มขึ้น ทำให้เป็นหนี้มากขึ้น ภาระจ่ายต่อเดือนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ถ้ามีภาระใช้จ่ายอื่น ก็กู้สถาบันการเงินแห่งอื่นอีก ทำให้หนี้พอกพูน มูลค่าสูง สิ่งเหล่านี้ทำให้ความสามารถในชำระหนี้มีน้อยลง ครูบางท่านพอภาระเยอะ ก็ไปกู้นอกระบบด้วย หนักเลยทีนี้ 

·      กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน คือกลุ่มอาชีพอิสระ รับจ้างทั่วไป พ่อค้าแม่ค้า กลุ่มนี้หนี้ค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งบัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้ที่อยู่อาศัย หนี้เช่าซื้อ จำนำทะเบียนรถ พอรายได้ไม่แน่นอน หรือชำระหนี้ในระบบไม่ได้ ก็กู้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยสูง บางทีก็ไม่กล้าไปเจรจากับเจ้าหนี้ โดยเฉพาะเจ้าหนี้ในระบบ ทำให้กลายเป็นดินพอกหางหมู เวลาจ่ายก็จ่ายได้น้อย ชำระได้แค่ดอกเบี้ย ไม่ได้ตัดเงินต้นสักที ก็เลยทำให้ปัญหาพอกพูนขึ้นมา กลุ่มนี้วิธีแก้คือต้องเจรจา 

·      สำหรับกลุ่มอาชีพเกษตรกร เป็นกลุ่มที่ลำบาก รายได้ไม่แน่นอนจากสภาพดินฟ้าอากาศ ต้นทุนสูง ต้องลงทุน ผลผลิตก็ไม่แน่นอนอีก ราคาผลผลิตบางปีดี บางปีไม่ดี ทำให้เป็นหนี้เรื้อรัง โดยเป็นหนี้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ที่ภาครัฐบอกให้พักหนี้ ก็เลยนัวเนียกัน มีปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ด้วย มีความไม่รู้ คิดว่า พอพักหนี้นาน ๆ นึกว่าเขายกหนี้ให้ ซึ่งไม่ใช่ ยังมีภาระอยู่ พอจะชำระ หนี้ก็ก้อนใหญ่ ไม่สามารถชำระทั้งก้อนได้ ผ่อนได้แต่ดอกเบี้ย ไม่ได้ตัดต้น ก็เข้าข่ายหนี้เรื้อรัง

 

ในด้านวิธีจัดการปัญหาหนี้ จิตเกษม กล่าวว่า จะมองเป็น 3 ก้อน คือ ลูกหนี้ เจ้าหนี้ แล้วถ้าลูกหนี้ยังอยู่ในระบบการจ้างงาน ก็มีนายจ้าง

·      สำหรับลูกหนี้ เมื่อเป็นหนี้ก็ต้องคิดว่าพยายามหาทางใช้คืน ลูกหนี้ต้องไม่หลบลี้หนีหน้า ต้องพยายามสู้หน้า มีหนี้ต้องไปปรับโครงสร้างหนี้ อีกอันที่สำคัญ หนี้มาทีหลัง แต่เรื่องของรายได้ ถ้ารายได้ประจำไม่เพียงพอ ก็ต้องหารายได้เพิ่ม เพราะถ้าภาระหนี้มากกว่ารายได้ก็ต้องหารายได้เพิ่มเพื่อมาชำระหนี้ให้ได้ นี่เป็นบทบาทที่ทุกภาคส่วนจะช่วยส่งเสริมได้ในเรื่องการสร้างรายได้

·      สำหรับเจ้าหนี้ ก็ต้องจริงใจในการช่วยลูกหนี้แก้ไขปัญหาหนี้สิน การปรับโครงสร้างหนี้ ที่ผ่านมาทางการมีมาตรการขอให้เจ้าหนี้ช่วยปรับโครงสร้างหนี้หลายมาตรการ ตั้งแต่ช่วงเกิดโควิด มีการออกมาตรการเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว หรือสถาบันการเงินเฉพาะกิจก็มีโปรแกรมปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาวด้วยที่มีถึงสิ้นปีนี้ สามารถติดต่อได้ และปรับโครงสร้างหนี้ช่วงเกิดโควิด หรือแม้กระทั่งคลินิกแก้หนี้ ถ้าลูกหนี้ที่เป็นเอ็นพีแอล สนใจเข้าไปแก้ไขหนี้ ตัวคลินิกเองก็ยังรองรับอยู่ หรือหนี้เสีย 4.5 ล้านบัญชีที่เกิดในช่วงโควิด ไม่ว่าจะเป็นหนี้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ธนาคารพาณิชย์ หรือนอนแบงก์ก็ตาม ลูกหนี้ก็ยังเข้าไปได้ เจ้าหนี้ก็ยังรับที่จะแก้ไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้อยู่ สามารถเข้าไปคุยได้

·      สำหรับในส่วนนายจ้าง ก็เป็นส่วนสำคัญ ภาคเอกชนจำเป็นต้องดูแลลูกน้อง เพราะถ้าลูกน้องไม่มีหนี้สิน ไม่มีปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว ก็จะทำงานได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้ผลผลิตผลงานเพิ่มขึ้น มีงานวิจัยออกมาว่า ถ้าลูกน้องมีปัญหาหนี้สิน แล้วนายจ้างช่วยเหลือ บริษัทนั้นลูกน้องไม่ค่อยมีหนี้ ผลผลิตมันขึ้น นายจ้างจึงมีส่วนสำคัญที่จะช่วยในส่วนนี้ ด้านการให้ความรู้ ให้ความเข้าใจ มีนายจ้างหลายคนที่ติดต่อกับแบงก์ชาติอยู่ ก็ได้ไปให้ความรู้ทางการเงิน แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สิน การปรับโครงสร้างหนี้ ก็เป็นสิ่งที่นายจ้างควรดูแล

 

นอกจากนี้ ในส่วนที่เป็นหนี้ครู ก็มีการผลักดันกระทรวงศึกษาธิการให้ปรับหน้าซองให้ครูมีเงินเดือนเหลือมากกว่า 30% ต่อเดือนเพื่อให้มีเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เป็นการช่วยกันระหว่างลูกหนี้ เจ้าหนี้ และนายจ้าง 

ปัญหาสังคมไทยอีกปัญหา คือ หนี้นอกระบบ พอเราให้คำแนะนำว่า ต้องไปเจรจากับหนี้นอกระบบก่อน เพราะดอกเบี้ยมันสูง เขาก็บอกไม่ได้ เป็นผู้มีพระคุณกัน เป็นค่านิยมในสังคมไทย พอมีค่านิยม หรือเงื่อนไขในเชิงสังคมหรือเชิงความสัมพันธ์ หนี้ก็แก้ยากขึ้นไปอีก ไม่กล้าไปเจรจา มีกรณีหนึ่ง อาจารย์ที่ชลบุรี ก็มีหนี้นอกระบบลักษณะนี้ ก็แนะนำให้แก้หนี้ตัวนี้ก่อนเลย เพราะดอกเบี้ย 10% ต่อเดือน นี่อัตราปรานีแล้ว อาจารย์บอกไม่ได้ คนให้กู้มีบุญคุณ จะไปต่อรองเขาไม่ได้หรอก ทั้งที่ดูแล้วมีการชำระทบต้นไปนานแล้ว นี่คือความสัมพันธ์ของคนไทย ทำให้แก้ปัญหาไม่ง่าย” 

ขณะเดียวกัน ลูกหนี้ต้องหารายได้ และลดรายจ่ายด้วย บางคนมีรถ 2 คัน แล้วการผ่อนอาจจะต้องขายรถทั้ง 2 คัน ถ้ารถ 2 คันนี้ไม่ได้ช่วยเรื่องทำมาหากิน หรือสร้างรายได้อะไรเลย ก็ควรขายทั้ง 2 คัน คือต้องตัดขายสินทรัพย์ เพราะว่าถ้ายื้อต่อไป ปล่อยให้ถูกฟ้อง รถสองคันนี้ก็ถูกยึดอยู่ดี และถ้าขายรถก่อน จะได้ราคาดีกว่าถูกยึดแล้วบังคับคดีแล้วเอาออกขายทอดตลาด ถ้าปรากฏว่ามูลค่ารถไม่ถึงมูลหนี้ที่เขาฟ้องก็ต้องไปหาเงินมาชำระอยู่ดี บางอย่างจึงต้องตัดใจ คือที่สำคัญ คือ ต้องมีเงินหมุนเวียน เปลี่ยนสินทรัพย์เป็นรายได้กลับเข้ามาไปชำระหนี้ 

ทั้งนี้ จิตเกษม กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ต้องช่วยกันทำ และต้องใช้เวลา ในเอกสารแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างยั่งยืน พบว่า ถ้าไม่ทำอะไรเลยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนจะอยู่ที่ระดับ 84% ของผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) แต่ที่อยากเห็นคือ 80% ซึ่งต้องใช้เวลา ไม่ได้เร็ว โดยจากนี้ก็จะมีการออกมาตการ ให้เจ้าหนี้ต้องดูแลลูกหนี้อย่างรับผิดชอบ การโฆษณาจูงใจต่าง ๆ ต้องไม่กระตุ้นให้คนใช้จ่ายเป็นหนี้แบบเรื้อรัง หรือลูกหนี้ที่เข้าข่ายหนี้เรื้อรัง จ่ายแต่ดอกเบี้ยมานาน ควรมีข้อความหรือมีเอกสารบอกลูกหนี้หน่อยว่า อย่าจ่ายแต่ขั้นตํ่าเลย ถ้ามีเงินพิเศษ มีโบนัสมา ก็จ่ายเพิ่มขึ้นได้ จะได้ตัดเงินต้นได้มากหน่อย ภาระหนี้จะได้หมดเร็ว หรือเจ้าหนี้ต้องมีข้อแนะนำว่า ถ้าลูกหนี้เป็นหนี้เสียแล้ว ก่อนจะขายหนี้ออกไปหรือฟ้องร้องต่าง ๆ ต้องให้โอกาสลูกหนี้ในการปรับโครงสร้างหนี้ก่อน ธปท.จะมีการออกมาตรการเหล่านี้ออกไป 

ที่มา ; thaipublica 23 มิถุนายน 2023

ความเห็นของผู้ชม

 แสดงความคิดเห็น