ประเทศในเอเชียใต้และอาเซียนประกาศ “ปิดโรงเรียน” เนื่องจากอุณหภูมิพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ วิจัยเผย “ความร้อน” ทำให้สมองทำงานช้าลง เรียนไม่รู้เรื่อง และการหยุดเรียนนาน ๆ อาจทำให้เด็กต้องออกจากระบบการศึกษา ไปใช้แรงงานหาเงินแทน
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ ยังคงเผชิญหน้ากับ “คลื่นความร้อน” ระดับรุนแรง และมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ทำให้แต่ละประเทศออกคำเตือนให้ประชาชนระวังปัญหาสุขภาพจากสภาพอากาศที่ร้อนระอุ พร้อมประกาศหยุดเรียนให้หลายประเทศ หลังอุณหภูมิพุ่งสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส และทำให้ต้องประกาศ “หยุดเรียน”
ซูดานใต้ปิดโรงเรียนไปตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ อินเดีย และบังกลาเทศ ประกาศหยุดเรียนในช่วงปลายเดือนเมษายน เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นถึง 45 องศาเซลเซียส
ทำให้เด็กนักเรียนกว่า 40 ล้านคน ไม่ได้ไปโรงเรียนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะอากาศร้อน ซึ่งเป็นผลมาจาก “ภาวะโลกร้อน” ที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ยิ่งจะทำให้คลื่นความร้อนอยู่นานขึ้น และมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้น
“ความร้อนอบอ้าว” ส่งผลต่อการเรียน
อุณหภูมิที่พุ่งสูง ยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างระดับความรู้ของเด็กระหว่างประเทศกำลังพัฒนาที่ตั้งอยู่ในเขตร้อน และประเทศที่พัฒนาแล้วจะยิ่งห่างขึ้นไปอีก แต่ขณะเดียวกันการส่งเด็กไปโรงเรียนที่ร้อนจัดก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพเช่นกัน
อุณหภูมิสูงจะทำให้การทำงานของสมองช้าลง ส่งผลต่อความสามารถในการจดจำและการประมวลผลข้อมูลลดลง การศึกษาในปี 2020 พบว่า นักเรียนมัธยมปลายในสหรัฐมีผลการเรียนแย่ลง หากพวกเขาอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงในช่วงก่อนการสอบ นอกจากนี้การศึกษายังระบุว่า ทุกอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 0.55 องศาเซลเซียส จะทำให้การเรียนรู้ของนักเรียนลดลง 1%
จอช กู๊ดแมน ผู้ร่วมวิจัย และนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบอสตัน กล่าวว่า นักเรียนจะมีผลการเรียนที่ดีขึ้น เมื่อโรงเรียนติดตั้งเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งทีมวิจัยพบว่าข้อมูลผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติในหลายประเทศก็มีรูปแบบการเรียนรู้ที่คล้ายคลึงกัน “เมื่อนักเรียนเผชิญกับความร้อนอบอ้าวมากขึ้น จะยิ่งทำให้พวกเขาจะเรียนรู้น้อยลง” เขากล่าว
ทั้งนี้กู๊ดแมนกล่าวเสริมว่า นี่เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะในทุกวันนี้โลกร้อนขึ้นเรื่อย ๆ และประเทศที่ร้อนอยู่ก็จะต้องเจอกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด จะต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าประเทศที่มีภูมิอากาศแบบอบอุ่น
“ความร้อน” ทำให้เด็กต้องออกจากระบบการศึกษา
การศึกษาในปี 2019 พบว่า เด็ก ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ตั้งแต่อยู่ในภรรค์ พอถึงวัยเรียนเด็กเหล่านี้ก็อาจจะถูกให้ออกจากโรงเรียนมาช่วยทำงาน
เฮเธอร์ แรนเดลล์ นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยมินนิโซตา ผู้เขียนรายงานการศึกษา ระบุว่า ประชากรส่วนใหญ่ในภูมิภาคเป็นเกษตรกร ซึ่งความแห้งแล้ง ความร้อน และอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย ทำให้ครอบครัวไม่มีรายได้เพียงพอ เด็กเล็กอาจได้รับอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งอาจขัดขวางพัฒนาการของพวกเขา ส่วนเด็กในวัยเรียนอาจจะต้องออกจากโรงเรียน เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเรียน และออกมาช่วยทำงานหารายได้เพิ่มเติม
ในปี 2566 อากาศร้อนอบอ้าว ทำให้บังกลาเทศปิดโรงเรียนไป 6-7 วัน แต่ปีนี้รัฐบาลประเมินว่าอาจจะปิดโรงเรียนนานถึง 3-4 สัปดาห์ ด้วยระยะเวลาที่นานขนาดนี้ทำให้หลายฝ่ายเป็นกังวลว่าผู้ปกครองอาจจะนำเด็กไปใช้แรงงาน หรือจับเด็กแต่งงาน
โมฮิบุล ฮาซัน ชาวดูรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของบังกลาเทศ หากมีความจำเป็นก็จะให้สถานศึกษาทั้งหมดเปิดทำการในช่วงสุดสัปดาห์ เพื่อให้มีเวลาเรียนครบตามหลักสูตร พร้อมระบุว่าต่อไปนี้ การออกคำสั่งปิดโรงเรียนจะเป็นหน้าที่ของแต่ละท้องถิ่น ไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลางอีกต่อไป
โมฮิบุล ฮาซัน ชาวดูรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของบังกลาเทศ หากมีความจำเป็นก็จะให้สถานศึกษาทั้งหมดเปิดทำการในช่วงสุดสัปดาห์ เพื่อให้มีเวลาเรียนครบตามหลักสูตร พร้อมระบุว่าต่อไปนี้ การออกคำสั่งปิดโรงเรียนจะเป็นหน้าที่ของแต่ละท้องถิ่น ไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลางอีกต่อไป
ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ
เกี่ยวข้องกัน
ภาวะโลกร้อนส่งผลให้สมองทำงานแย่ลง
ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์รู้ดีว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ทำให้โรคติดเชื้อและโรคทางเดินหายใจแย่ลง แต่ล่าสุดนักวิจัยพบว่าภาวะโลกร้อนส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทด้วยเช่นกัน
ในการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน พบว่า ภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีอิทธิพลต่อโรคทางระบบประสาทที่สำคัญ และความผิดปกติด้านสุขภาพจิต ซึ่งไม่ได้ทำให้คนป่วยเป็นโรคเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความรุนแรงของโรค จนทำให้ต้องรักษาในโรงพยาบาล ความพิการ และแม้กระทั่งการเสียชีวิตอีกด้วย
สมองของเรามีหน้าที่จัดการกับความสมดุลสิ่งแวดล้อมที่เราเผชิญ เมื่ออุณหภูมิและความชื้นที่สูงขึ้น ร่างกายของเราจะส่งสัญญาณ เช่น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ร่างกายจะกระตุ้นให้เหงื่อออกและบอกให้เราย้ายออกจากแสงแดดและไปอยู่ในที่ร่ม
“สมองจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม หากสมองมีความผิดปรกติ สมองจะควบคุมอุณหภูมิได้แย่ลง และจะยิ่งชัดเจนเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น” ซานเจย์ ซิโซดิยา ศาสตราจารย์จากสถาบันประสาทวิทยา UCL Queen Square ผู้นำการวิจัยกล่าว
โลกร้อนทำสมองทำงานผิดปรกติ
เมื่อสภาพอากาศสุดขั้วเริ่มรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นเรื่องปรกติ การหาความสัมพันธ์ระหว่างผิดปกติทางระบบประสาทกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากสำหรับการดูแลประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด กลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ
สำหรับการศึกษาครั้งนี้ นักวิจัยได้ตรวจสอบรายงาน 332 ฉบับ โดยพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อสภาวะทางระบบประสาท 19 ประการ รวมถึงโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมในรูปแบบอื่น ๆ ไมเกรน โรคหลอดเลือดสมอง โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อีกทั้งนักวิจัยยังรวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และโรคจิตเภท เนื่องจากความผิดปกติทางจิตเวชมักเกี่ยวข้องโรคทางระบบประสาทบ่อยครั้ง
การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่าสภาพอากาศส่งผลกระทบต่อแต่ละโรคในลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ภาวะส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องในวงกว้างกับความชุกสูงขึ้นและอาการที่แย่ลง
ผลการวิจัยพบว่าผู้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ พยายามปรับตัวในช่วงที่อากาศร้อนจัด เช่น การขอความช่วยเหลือ การสวมเสื้อผ้าบาง และการดื่มน้ำมากขึ้น นอกจากนี้ สภาพอากาศที่ร้อนขึ้นยังมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตหรือทำให้พิการได้
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ตอนกลางคืนมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ อาจส่งผลให้ผู้ป่วยโรคลมบ้าหมูมีอาการแย่ลงลงจากการอดนอน (การวิจัยยังพบว่าความเย็นจัดสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน)
โลกร้อนกระตุ้นปัญหาสุขภาพจิต
อุบัติการณ์ความผิดปกติด้านสุขภาพจิตและความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมีความสัมพันธ์อย่างมากกับอุณหภูมิแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น รายงานฉบับหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการเรียกร้องค่าประกันสุขภาพของสหรัฐจากการเข้ารับการตรวจในห้องฉุกเฉิน ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต ระหว่างปี 2010-2019 เพิ่มขึ้นในวันที่อากาศร้อนจัด
นอกจากนี้ภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น พายุ ไฟป่า คลื่นความร้อน น้ำท่วม สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการวิตกกังวล ความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ ซึมเศร้า และความคิดฆ่าตัวตาย
เบอร์ซิน อิคิซ นักประสาทวิทยาที่ศึกษาผลกระทบของรูปแบบสิ่งแวดล้อมในสมองกล่าวว่า เมื่อความร้อนเพิ่มขึ้นสมองของเราตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการอักเสบและความเสื่อมในรูปแบบอื่น ๆ ทำให้การรับรู้ลดลง
“สิ่งที่ทำให้ฉันกลัวมากที่สุดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้คือ ภายในปี 2050 ผู้คนจะมีความผิดปกติทางระบบประสาทเพิ่มมากขึ้น และคนที่ป่วยจะมีอายุลดลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่ 40-50 ปี แทนที่จะเป็น 70-80 ปี เพราะสมองของเราถูกโจมตีด้วยความเครียดที่แตกต่างกัน เช่น ความร้อน มลภาวะ และไมโครพลาสติก”
ผู้ที่มีภาวะทางระบบประสาทและจิตเวชที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลกมีจำนวนมาก โดยคาดว่าภายในปี 2050 ทั่วโลกจะมีผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมและลมบ้าหมูเพิ่มขึ้นจนมากกว่า 150 ล้านคน โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่สองและเป็นสาเหตุสำคัญของความพิการทั่วโลก
ซิโซดิยาและอิกิซ เรียกร้องให้มีการวิจัยเพิ่มเติมและการแทรกแซงเชิงนโยบายเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเกิดขึ้นต่อบุคคลและระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ยากจน
ในขณะที่โลกเผชิญกับความร้อนระอุในฤดูร้อนที่ทำลายสถิติอีกรอบ ผู้คนก็สามารถดำเนินการเพื่อป้องกันความร้อนจัดได้เช่นกัน เช่นการอยู่ในที่ร่มระหว่างวัน ไม่ออกไปอยู่กลางแจ้ง ปิดหน้าต่างหรือบานประตูหน้าต่าง ใช้สิ่งของเพื่อให้เย็นและชุ่มชื้น และเก็บยาไว้ใกล้ตัว
แต่วิธีจะลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ดีและได้ผลมากที่สุด คือ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล หยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอากาศ
บทความโดย กฤตพล สุธีภัทรกุล
แหล่งข้อมูล : Bloomberg, Fast Company, The Conversation
ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ 24 พ.ค. 2024
เกี่ยวข้องกัน
‘ภาวะโลกร้อน’ ส่งผลให้สมองทำงานแย่ลง คนเป็นโรคระบบประสาทเร็วมากขึ้น
ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์รู้ดีว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ทำให้โรคติดเชื้อ และโรคทางเดินหายใจแย่ลง แต่ล่าสุดนักวิจัยพบว่าภาวะโลกร้อนส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทด้วยเช่นกัน
ในการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน พบว่า ภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีอิทธิพลต่อโรคทางระบบประสาทที่สำคัญ และความผิดปกติด้านสุขภาพจิต ซึ่งไม่ได้ทำให้คนป่วยเป็นโรคเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความรุนแรงของโรค จนทำให้ต้องรักษาในโรงพยาบาล ความพิการ และแม้กระทั่งการเสียชีวิตอีกด้วย
สมองของเรามีหน้าที่จัดการกับความสมดุลสิ่งแวดล้อมที่เราเผชิญ เมื่ออุณหภูมิ และความชื้นที่สูงขึ้น ร่างกายของเราจะส่งสัญญาณ เช่น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ร่างกายจะกระตุ้นให้เหงื่อออก และบอกให้เราย้ายออกจากแสงแดด และไปอยู่ในที่ร่ม
“สมองจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม หากสมองมีความผิดปรกติ สมองจะควบคุมอุณหภูมิได้แย่ลง และจะยิ่งชัดเจนเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น” ซานเจย์ ซิโซดิยา ศาสตราจารย์จากสถาบันประสาทวิทยา UCL Queen Square ผู้นำการวิจัย กล่าว
โลกร้อนทำสมองทำงานผิดปรกติ
เมื่อสภาพอากาศสุดขั้วเริ่มรุนแรงมากขึ้น จนกลายเป็นเรื่องปรกติ การหาความสัมพันธ์ระหว่างผิดปกติทางระบบประสาทกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากสำหรับการดูแลประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด กลุ่มเด็ก และผู้สูงอายุ
สำหรับการศึกษาครั้งนี้ นักวิจัยได้ตรวจสอบรายงาน 332 ฉบับ โดยพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อสภาวะทางระบบประสาท 19 ประการ รวมถึงโรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อมในรูปแบบอื่นๆ ไมเกรน โรคหลอดเลือดสมอง โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อีกทั้งนักวิจัยยังรวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และโรคจิตเภท เนื่องจากความผิดปกติทางจิตเวชมักเกี่ยวข้องโรคทางระบบประสาทบ่อยครั้ง
การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่าสภาพอากาศส่งผลกระทบต่อแต่ละโรคในลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ภาวะส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องในวงกว้างกับความชุกสูงขึ้น และอาการที่แย่ลง
ผลการวิจัยพบว่าผู้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อมอื่นๆ พยายามปรับตัวในช่วงที่อากาศร้อนจัด เช่น การขอความช่วยเหลือ การสวมเสื้อผ้าบาง และการดื่มน้ำมากขึ้น นอกจากนี้ สภาพอากาศที่ร้อนขึ้นยังมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตหรือทำให้พิการได้
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ตอนกลางคืนมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ อาจส่งผลให้ผู้ป่วยโรคลมบ้าหมูมีอาการแย่ลงจากการอดนอน (การวิจัยยังพบว่าความเย็นจัดสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน)
โลกร้อนกระตุ้นปัญหาสุขภาพจิต
อุบัติการณ์ความผิดปกติด้านสุขภาพจิต และความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมีความสัมพันธ์อย่างมากกับอุณหภูมิแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น รายงานฉบับหนึ่งแสดงให้เห็นว่าการเรียกร้องค่าประกันสุขภาพของสหรัฐจากการเข้ารับการตรวจในห้องฉุกเฉิน ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต ระหว่างปี 2010-2019 เพิ่มขึ้นในวันที่อากาศร้อนจัด
นอกจากนี้ภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น พายุ ไฟป่า คลื่นความร้อน น้ำท่วม สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการวิตกกังวล ความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ ซึมเศร้า และความคิดฆ่าตัวตาย
เบอร์ซิน อิคิซ นักประสาทวิทยาที่ศึกษาผลกระทบของรูปแบบสิ่งแวดล้อมในสมองกล่าวว่า เมื่อความร้อนเพิ่มขึ้นสมองของเราตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการอักเสบ และความเสื่อมในรูปแบบอื่นๆ ทำให้การรับรู้ลดลง
สิ่งที่ทำให้ฉันกลัวมากที่สุดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้คือ ภายในปี 2050 ผู้คนจะมีความผิดปกติทางระบบประสาทเพิ่มมากขึ้น และคนที่ป่วยจะมีอายุลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ 40-50 ปี แทนที่จะเป็น 70-80 ปี เพราะสมองของเราถูกโจมตีด้วยความเครียดที่แตกต่างกัน เช่น ความร้อน มลภาวะ และไมโครพลาสติก”
ผู้ที่มีภาวะทางระบบประสาท และจิตเวชที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลกมีจำนวนมาก โดยคาดว่าภายในปี 2050 ทั่วโลกจะมีผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม และลมบ้าหมูเพิ่มขึ้นจนมากกว่า 150 ล้านคน โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่สอง และเป็นสาเหตุสำคัญของความพิการทั่วโลก
ซิโซดิยาและอิกิซ เรียกร้องให้มีการวิจัยเพิ่มเติม และการแทรกแซงเชิงนโยบายเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเกิดขึ้นต่อบุคคลและระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ยากจน
ในขณะที่โลกเผชิญกับความร้อนระอุในฤดูร้อนที่ทำลายสถิติอีกรอบ ผู้คนก็สามารถดำเนินการเพื่อป้องกันความร้อนจัดได้เช่นกัน เช่น การอยู่ในที่ร่มระหว่างวัน ไม่ออกไปอยู่กลางแจ้ง ปิดหน้าต่างหรือบานประตูหน้าต่าง ใช้สิ่งของเพื่อให้เย็น และชุ่มชื้น และเก็บยาไว้ใกล้ตัว
แต่วิธีจะลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ดี และได้ผลมากที่สุด คือ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล หยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอากาศ
ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ