ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาภาคการศึกษาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มากมาย โดยหลักๆ เป็นการการบูรณาการดิจิทัลเข้ากับห้องเรียน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มประสบการณ์การสอนและการเรียนรู้ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ซึ่งการนำวิธีการสอนและเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมมาใช้ในห้องเรียนเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจในวิชาต่างๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และยังปรับปรุงการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนอีกด้วย นวัตกรรมที่นำมาใช้ในการเรียนการสอนระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษา (K-12) มีดังนี้
1. Flipped Classroom Approach (ห้องเรียนกลับด้าน) คือการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีรูปแบบคล้ายกับการสอนออนไลน์ นักเรียนเรียนรู้บทเรียนจากวิดีโอการสอนและศึกษา คิด วิเคราะห์ ด้วยตนเองจากที่บ้าน ก่อนมาทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ ในห้องเรียน นักเรียนจะดูการบรรยายหรือวิดีโอการสอนที่บ้าน จากนั้นใช้เวลาในชั้นเรียนเพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายและโครงงาน แนวทางนี้ช่วยให้มีการสอนที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น เนื่องจากนักเรียนสามารถทำงานได้ตามขั้นตอนของตนเอง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มเวลาในชั้นเรียนสำหรับกิจกรรมการเรียนรู้เชิงโต้ตอบ เช่น การอภิปราย และการทำงานร่วมกัน เป็นต้น
2. Audiobooks and Dictation Software (หนังสือเสียงและซอฟต์แวร์เขียนตามคำบอก) เครื่องมือเหล่านี้ช่วยเหลือนักเรียนที่มีความพิการหรือผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะทางภาษา หนังสือเสียงช่วยเพิ่มคำศัพท์และความเข้าใจผ่านการเรียนรู้จากการฟัง ในขณะที่ซอฟต์แวร์การเขียนตามคำบอกจะช่วยผู้ที่ไม่สามารถเขียนหรือพิมพ์ได้ ทำให้ง่ายต่อการใช้งานคอมพิวเตอร์และสื่อสารโดยไม่ต้องพิมพ์แม้แต่คำเดียว ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น
3. Digital Content Libraries (ห้องสมุดดิจิทัล) เป็นแหล่งข้อมูลออนไลน์เปรียบเสมือนคลังสื่อการเรียนรู้เสมือนจริงที่สามารถเข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการค้นหาและเข้าถึงข้อมูลในรูปแบบต่างๆ เช่น หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book), บทความวิชาการ (academic articles), ฐานข้อมูล (databases), วิดีโอ หนังสือเสียง ตอบสนองความต้องการและสไตล์การเรียนรู้ที่หลากหลาย ห้องสมุดเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนครูในการเสนอแนวคิดผ่านห้องสมุดดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพและนักเรียนช่วยให้มีส่วนร่วมกับเนื้อหาอย่างลึกซึ้ง
4. Social Media for Collaborative Learning (โซเชียลมีเดียสำหรับการเรียนรู้ร่วมกัน)
เป็นการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนและครู ส่งเสริมชุมชนการศึกษาให้สามารถแบ่งปัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแสดงความคิดเห็นนอกห้องเรียนได้ นักเรียนจะทำงานร่วมกันในงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งนักเรียนที่ทำงานเป็นกลุ่มต้องพึ่งพาความสามารถและความรู้ของกันและกันเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ พวกเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมชั้นในประเด็นต่างๆได้ ส่งเสริมทักษะทางสังคม ความคิดสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหา
5. Simulation Games (เกมจำลองสถานการณ์) การจำลองทางดิจิทัลนี้จะนำเสนอสถานการณ์เสมือนจริงที่เลียนแบบสถานการณ์ในชีวิตจริง ช่วยเพิ่มความเข้าใจและการประยุกต์ใช้แนวคิดในสภาพแวดล้อมโดยปราศจากความเสี่ยง ช่วยส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนผ่านการเรียนรู้จากสถานการณ์จำลอง
6. AR or Augmented Reality (เทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง) AR เป็นการซ้อนทับแบบดิจิทัลให้กับโลกทางกายภาพ ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบโต้ตอบและสนุกสนานในคราวเดียวกัน โดยมอบประสบการณ์ที่สมจริง สามารถพานักเรียนไปยังสถานที่ต่างๆ เช่น สถานที่ทางประวัติศาสตร์หรือการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ โดยไม่ต้องออกจากห้องเรียน แม้แต่วิชาที่ยากก็อาจเข้าใจได้ง่าย ด้วยเทคโนโลยี Augmented Reality ซึ่งช่วยให้นักเรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมจริง
7. Virtual Reality (เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน) ความเป็นจริงเสมือน (VR) ช่วยให้นักเรียนได้สัมผัสโลกโดยไม่ต้องออกจากห้องเรียน พวกเขาสามารถเที่ยวชมสถานที่ห่างไกลจากโต๊ะหรือบ้านที่สะดวกสบาย เทคโนโลยีนี้ใช้เพื่อแสดงสถานที่ที่มีความสำคัญทางภูมิศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ได้ดีที่สุด แทนที่จะจัดทัศนศึกษาให้นักเรียน ครูสามารถจัดให้นักเรียนสวมจอแสดงผลแบบสวมศีรษะซึ่งช่วยให้มองเห็นสถานที่จริงได้
อ้างอิงจาก:
ที่มา ; สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา