“ไม่กินมื้อเช้า อดนอน นอนคลุมโปง ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ กินหวานเยอะไป ไม่ใช้ความคิด”
สิ่งเหล่านี้คือพฤติกรรมต้องห้ามเพื่อป้องกัน “สมองฝ่อ” ที่หลายคนมักได้ยินจากคนรอบตัวที่ห่วงใย จริง ๆ
แล้ว ภาวะ “สมองฝ่อ” คืออะไร เหมือนกับสมองเสื่อมหรือไม่ และมีพฤติกรรมใดบ้างที่เสี่ยงต่อการทำให้สมองฝ่อ Hack for Health ตอนนี้มีคำตอบ
“สมองฝ่อ” ไม่ใช่ “สมองเสื่อม”
ภาวะสมองฝ่อ เป็นอาการทางสมองที่หลายคนมักเข้าใจผิดและสับสนกับโรคสมองเสื่อม แต่ในความเป็นจริงแล้วภาวะสมองฝ่อไม่จำเป็นต้องสูญเสียความทรงจำเสมอไป อาการนี้จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรทำความเข้าใจร่วมกัน เพื่อการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม
“สมองฝ่อ” เป็นความผิดปกติของสมอง โดยเฉพาะด้านความจำที่เสื่อมลงไปทีละน้อย มีการเสื่อมของเซลล์สมอง มีจำนวนเซลล์น้อยลง จากการศึกษายังไม่เจอสาเหตุที่แท้จริง แต่อาการนี้มักพบได้บ่อยในผู้สูงอายุที่มีอายุประมาณ 75 ปีขึ้นไป
อาการของสมองฝ่อที่ต้องรู้
เนื่องจาก “สมองฝ่อ” คือการเจริญเติบโตของเซลล์สมองในทางลดขนาดลง ดังนั้น ความเกี่ยวข้องกับโรคต่าง ๆ จึงขึ้นอยู่กับตำแหน่งการฝ่อของสมอง หากเกิดการฝ่อในพื้นที่ควบคุมการทำงานใด ก็จะส่งผลต่อการทำงานนั้นโดยตรง เช่น หากสมองฝ่อบริเวณที่เกี่ยวกับการบันทึกความจํา ก็จะทำให้เป็นโรคสมองเสื่อมได้ ที่พบบ่อยสุดคือ “กลุ่มอัลไซเมอร์” ที่มีการฝ่อของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความจำ จะทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องหลงลืมง่าย
การฝ่อที่สมองส่วนอื่น ๆ เช่น
· สมองส่วนหน้า อาจจะมีปัญหาเรื่องทักษะด้านความคิด ความจำ การวางแผน การทำงานต่าง ๆ เคยทำอะไรได้บางอย่าง แล้วเหมือนกับทำต่อไม่ได้แล้ว
· สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น จะทำให้มีปัญหาเรื่องหลงทางในพื้นที่ที่คุ้นเคย
· สมองส่วนที่เกี่ยวกับการใช้ภาษา จะทำให้ผู้ป่วยนึกคำพูดนานขึ้น หรือพูดคุยแล้วผู้ป่วยฟังไม่เข้าใจ หรือฟังสิ่งที่ผู้ป่วยพูดไม่เข้าใจ เป็นต้น
สมองฝ่อก่อนวัยเป็นอย่างไร
ช่วงอายุการฝ่อของสมองแต่ละคนจะแตกต่างกันไป บางคนฝ่อเร็วบางคนฝ่อช้า ในขณะที่ผู้สูงอายุบางคนที่มีอายุ 70-80 ปี สมองอาจจะยังไม่ฝ่อมาก สามารถใช้ชีวิตประจำวันและช่วยเหลือตัวเองได้เป็นปกติก็มี แต่บางคนที่มีกลุ่มรอยโรค หรือมีความผิดปกติที่ทำให้สมองเสื่อมเร็วขึ้น เช่น มีโปรตีนผิดปกติในสมอง ก็อาจจะทำให้ตัวสมองฝ่อเร็วกว่าอายุ หรือฝ่อเร็วถ้าเทียบกับคนที่อายุกลุ่มเดียวกัน
โดยผู้ที่มีอาการสมองฝ่อก่อนวัย จะมีอาการผิดปกติ 3 ด้าน ที่สามารถสังเกตได้ ดังนี้
· ด้านการทำงาน ถ้าเคยทำงานได้ อยู่ ๆ ก็ทำงานไม่ได้
· ด้านการใช้ชีวิตประจำวัน บางคนเคยอาบน้ำได้แต่บอกอาบน้ำไม่เป็น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยอาบน้ำได้ หรือจำไม่ได้ว่าต้องอาบน้ำก็เลยไม่ได้อาบน้ำ
· ด้านทักษะทางสังคม เคยออกนอกบ้านได้ปกติ เป็นคนสุภาพเรียบร้อย อยู่ ๆ ก็มีพฤติกรรมเกรี้ยวกราด หรือมีพฤติกรรมไม่สุภาพขณะออกไปนอกบ้าน เป็นต้น
อาการดังกล่าวคือสัญญาณเตือนว่า สมองของคนที่คุณรัก (หรือของคุณ) กำลังฝ่อ ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดและทำการรักษาต่อไป
พฤติกรรมทำสมองฝ่อ
ในส่วนของการป้องกัน “สมองฝ่อ” นั้น เราอาจเคยได้รับการเตือนด้วยความหวังดีอย่างมากมายถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่อาจทำให้คุณเสี่ยงเป็นโรคสมองฝ่อ ไม่ว่าจะเป็น การไม่กินมื้อเช้า การกินมากไปจนเป็นโรคอ้วน การสูบบุหรี่ กินหวาน ใช้ชีวิตท่ามกลางมลภาวะ การอดนอน การนอนคลุมโปง เค้นสมองเวลาไม่สบาย ไม่ค่อยใช้ความคิด และไม่ค่อยพูด ซึ่ง 10 พฤติกรรมเหล่านี้มีทั้งที่มีส่วนให้สมองฝ่อได้จริง และไม่เกี่ยวกับสมองฝ่อเลย
โดยพฤติกรรมที่มีส่วนทำให้สมองฝ่อ ได้แก่
· ภาวะอ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่อ้วนมาก และมีโรคประกอบประจำตัวหลายอย่าง เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง รวมไปถึง คนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่มีส่วนทำให้สมองฝ่อได้
· การสูบบุหรี่ นอกจากจะมีส่วนทำให้สมองฝ่อได้แล้ว ยังสัมพันธ์กับภาวะอัลไซเมอร์ และเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดสมองตีบ เปราะ แตกง่าย ส่งผลให้สมองเสื่อมถอยลงเร็วขึ้น
· อยู่ในที่ที่มีมลภาวะ แม้ความเสี่ยงจะไม่มีความรุนแรงเท่ากับการสูบบุหรี่ หรือปัจจัยอื่น ๆ อย่างอายุ แต่จากการศึกษาก็พบว่ากลุ่มที่สัมผัสมลภาวะบ่อย เช่น สัมผัสควัน สัมผัส PM 2.5 สัมผัสแหล่งน้ำที่มีสารพิษปนเปื้อน มีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้สัมผัสอย่างมีนัยสำคัญ
· การอดนอน แม้ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างการอดนอนกับสมองฝ่อจะยังไม่ชัดเจน แต่มีการยืนยันแล้วว่า “การนอนดี” ดีต่อสมองของเรา
· ไม่ค่อยใช้ความคิด มีการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ใช้ความคิดเยอะ มีกิจกรรมกระตุ้นตัวเองตลอดเวลา หรือกลุ่มที่มีระดับการศึกษาที่สูง มีความเสี่ยงในการเกิดสมองฝ่อน้อยกว่า แต่ก็ยังเป็นปัจจัยที่ไม่เด่นชัดมาก
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสำคัญที่นอกเหนือไปจากพฤติกรรมเสี่ยงสมองฝ่อที่กล่าวมาแล้ว คือเรื่องของพันธุกรรม ส่งผลให้บางคนเป็นตั้งแต่แรกเกิดหรืออายุไม่เยอะ แต่บางคนเป็นตอนอายุมาก
· “อายุที่เพิ่มขึ้น” คือปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดของการเกิดสมองฝ่อ และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขไม่ได้ เมื่อไม่มีใครสามารถ “ห้าม” อายุไม่ให้เพิ่มขึ้นได้ ก็ไม่สามารถห้ามสมองฝ่อได้เช่นกัน ดังนั้น เมื่อมีอาการสมองฝ่อที่ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน จึงจำเป็นต้องรับการรักษาตามอาการเป็นหลัก
นอกจากการรักษาตามอาการด้วยการใช้ยาแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็เป็นสิ่งที่ควรทำควบคู่กันไป โดย “หลัก 5 อ ชะลอเสื่อม” เป็นหนึ่งในวิธีการชะลอความเสื่อมที่เป็นที่ยอมรับและได้ผลดีตามวิถีธรรมชาติ หลัก 5 อ ได้แก่ อาหารดี อากาศดี ออกกำลังกายดี อุจจาระดี และอารมณ์ดี
ที่มา ; msn
เกี่ยวข้องกัน
ผู้เชี่ยวชาญ ม.ฮาร์วาร์ด เผยอาหาร 6 ชนิดที่ดีต่อสมอง
อาหารบางประเภทช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น ความจำดีขึ้น และช่วยให้สมองทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ นี่คือสิ่งที่ อูมา ไนโด จิตแพทย์ด้านโภชนาการและศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard Medical School) ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวไว้
สุขภาพจิตและอาหารมีความเชื่อมโยงกันเช่นเดียวกับสมองและลำไส้ นี่เป็นความสัมพันธ์ที่ส่งผลกระทบสำคัญต่อร่างกายมนุษย์ เพื่อจะทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ เป็นเรื่องสำคัญที่จะทราบว่าทั้งสมองและลำไส้มีต้นกำเนิดมาจากเซลล์เดียวกันในระยะเอ็มบริโอหรือระยะตัวอ่อนของมนุษย์ นอกจากนี้เซลล์ของทั้งสองอวัยวะยังเชื่อมโยงกันขณะที่มนุษย์กำลังพัฒนา
ทั้งสมองและลำไส้สื่อสารกันโดยส่งข้อความทางเคมี ที่จริงแล้ว เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความอยากอาหารและกิจกรรมอื่น ๆ ประมาณ 90-95% ถูกผลิตในลำไส้
นักวิชาการกล่าวในการสัมภาษณ์กับบีบีซี มุนโด (แผนกภาษาสเปน) ว่าหากทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ลำไส้จะเกิดการอักเสบและได้รับผลกระทบจากการบริโภคอาหารที่ไม่ดี และยังส่งผลให้เกิดอาการวิตกกังวล ขาดสมาธิ และโรคต่าง ๆ เช่น ภาวะซึมเศร้า ดังนั้น ยิ่งดูแลอาหารและลำไส้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูแลสุขภาพจิตได้มากขึ้นเท่านั้น เนื่องจาก "มีความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างอาหารและอารมณ์"
อูมา ไนโด ผู้อำนวยการสถาบันจิตวิทยาโภชนาการและไลฟ์สไตล์ที่โรงพยาบาลทั่วไปแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts General Hospital) กล่าวว่า เธอรักอาหารและการทำอาหารมาทั้งชีวิต และด้วยการที่เธอเติบโตมากับครอบครัวที่เป็นแพทย์ทั้งครอบครัว เธอจึงมักจะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาในสิ่งที่เธอสนใจ
เมื่อศึกษาแพทยศาสตร์ เธอได้เกิดการตระหนักว่า การฝึกอบรมในด้านโภชนาการมีไม่เพียงพอ และเมื่อเธอมาศึกษาจนเชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์ เธอก็เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างอาหารและสุขภาพจิต
"นี่เป็นสาขาที่กำลังเกิดขึ้นและเริ่มขยายตัว" เธอกล่าว
ในเดือน ต.ค. 2022 ผู้เชี่ยวชาญได้พูดคุยกับบีบีซี มุนโด เกี่ยวกับประโยชน์ของวิตามินบีในการรักษาสมองให้เยาว์วัยและสุขภาพดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินบี-12, บี-9 และ บี-1ในโอกาสนี้ จิตแพทย์รายนี้ได้กล่าวถึงอาหารที่เธอพิจารณาว่ามีประโยชน์ในการปรับปรุงอารมณ์และเสริมสร้างพลังสมอง
1. เครื่องเทศ
เป็นที่รู้กันดีว่าเครื่องเทศมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระได้ เครื่องเทศบางชนิด เช่น ขมิ้น มีผลดีในการลดความวิตกกังวล สารเคอร์คิวมิน (Curcumin) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ออกฤทธิ์ในขมิ้น อาจช่วยลดความวิตกกังวลโดยการเปลี่ยนแปลงเคมีในสมองและปกป้องฮิปโปแคมปัส [สมองส่วนที่ช่วยเปลี่ยนความจำระยะสั้นให้กลายเป็นความจำระยะยาว]
อีกหนึ่งเครื่องเทศที่จิตแพทย์ชื่นชอบมากคือ หญ้าฝรั่น งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า หญ้าฝรั่นมีผลต่อผู้ป่วยโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง ศาสตราจารย์ไนโด อธิบายว่า การศึกษาพบว่าการบริโภคหญ้าฝรั่นช่วยลดอาการในผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้าอย่างมีนัยสำคัญ
2. อาหารหมักดอง
อาหารหมักดองมีหลากหลายประเภท อาหารเหล่านี้ถูกปรุงขึ้นโดยการผสมผสานจากนม ผัก หรือวัตถุดิบดิบอื่น ๆ กับจุลินทรีย์ เช่น ยีสต์และแบคทีเรีย อาหารหมักที่รู้จักกันดีที่สุดคือ โยเกิร์ตธรรมชาติที่มีเชื้อจุลินทรีย์ แต่ก็ยังมีอาหารหมักประเภทอื่น ๆ เช่น ซาวร์เคราต์หรือกะหล่ำปลีดองแบบตะวันตก กิมจิ และคอมบูฉะหรือเครื่องดื่มชาหมัก สิ่งที่อาหารประเภทนี้มีเหมือนกันคือเป็นแหล่งของแบคทีเรียที่มีชีวิตซึ่งสามารถปรับปรุงการทำงานของลำไส้และลดความวิตกกังวลได้
อาหารหมักดองสามารถให้ประโยชน์หลายอย่างต่อสมอง การวิเคราะห์การศึกษา 45 ฉบับที่ดำเนินการในปี 2016 แสดงให้เห็นว่าอาหารหมักดองช่วยปกป้องสมอง ปรับปรุงความจำ และชะลอการเสื่อมตัวลงของความจำ ศ.ไนโดกล่าวเสริมว่า โยเกิร์ตที่อุดมไปด้วยโพรไบโอติก (Probiotic) สามารถนำมาเป็นส่วนสำคัญในอาหารได้ แต่ต้องไม่ใช่โยเกิร์ตที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยความร้อน
3. ถั่ววอลนัท
กรดไขมันโอเมก้า-3 ในวอลนัทมีผลต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม ซึ่งสามารถช่วยปรับปรุงการคิดและความจำ นอกจากนี้ ถั่วยังมีไขมันและน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพที่สมองของเราต้องการเพื่อทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น ซีลีเนียม (selenium) ในถั่วบราซิล
ศ.ไนโด แนะนำให้รับประทานถั่ววันละ 1/4 ถ้วย โดยสามารถใส่ในสลัดหรือผักต่าง ๆ นอกจากนี้ยังสามารถผสมกับกราโนลาหรือถั่วที่ทำเองที่บ้านได้ เพราะการผสมเองจะได้ถั่วผสมที่คุณภาพดีกว่าที่ขายในร้านค้า ซึ่งมักมีระดับน้ำตาลและเกลือสูง
4. ดาร์กช็อกโกแลต
ดาร์กช็อกโกแลตเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดีเยี่ยม มันช่วยในการสร้างเปลือกที่ปกป้องเซลล์ประสาทและช่วยควบคุมการสังเคราะห์สารเคมีที่มีผลต่ออารมณ์
การสำรวจในปี 2019 ของผู้ใหญ่กว่า 13,000 คนพบว่าผู้ที่รับประทานดาร์กช็อกโกแลตเป็นประจำ มีความเสี่ยงต่อการมีอาการซึมเศร้าต่ำกว่าถึง 70%
ดาร์กช็อกโกแลตยังมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมายและมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก
5. อะโวคาโด
ด้วยปริมาณแมกนีเซียมที่ค่อนข้างสูง ซึ่งสำคัญต่อการทำงานของสมอง อะโวคาโดจึงเป็นอีกแหล่งหนึ่งที่ช่วยเสริมความเป็นอยู่ที่ดี มีการวิเคราะห์จำนวนมากที่ชี้ว่าภาวะซึมเศร้าเกี่ยวข้องกับการขาดแมกนีเซียม หลายกรณีศึกษาที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยแมกนีเซียมปริมาณระหว่าง 125-300 มิลลิกรัม แสดงให้เห็นการฟื้นตัวจากภาวะซึมเศร้าเร็วขึ้น
"ฉันชอบผสมอะโวคาโด ถั่วชิกพี และน้ำมันมะกอก แล้วทาบนขนมปังปัมเปอร์นิเกิล [ขนมปังที่ทำจากข้าวไรย์และโฮลวีต] หรือเป็นน้ำสลัดสำหรับผักสด" แพทย์กล่าว
6. ผักใบเขียว
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่าผักใบเขียวอย่างเคลหรือคะน้า สร้างความแตกต่างอย่างมากให้กับสุขภาพของผู้รับประทาน แม้ผู้คนทั่วไปอาจไม่รู้สรรพคุณของผักใบเขียวมากนัก แต่ความจริงคือผักใบเขียวมีวิตามินอี แคโรทีนอยด์ (carotenoids) และฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมและภาวะถดถอยของการทำงานของสมอง
อีกหนึ่งประโยชน์ของอาหารเหล่านี้คือพวกมันเป็นแหล่งที่ดีของโฟเลต ซึ่งเป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามินบี 9 ที่สำคัญต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง การขาดโฟเลตอาจเป็นสาเหตุของปัญหาทางระบบประสาทบางอย่าง นั่นเป็นเหตุผลที่วิตามินนี้มีผลดีต่อสถานะการรับรู้และสำคัญในการผลิตสารสื่อประสาท
“ผักต่างๆ เช่น ผักโขม ผักชาร์ด และใบแดนดิไลออน ก็เป็นแหล่งของกรดโฟลิกที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน” ผู้เชี่ยวชาญกล่าวเพิ่มเติม
ที่มา ; msn