"Content Creator หรือ นักสร้างสรรค์คอนเทนต์" อีกหนึ่งอาชีพในฝันของเด็กๆ หลายคน เพราะการเป็น Content Creator นอกเหนือจากจะเป็นผู้ผลิตและส่งต่อสิ่งดีๆ ให้กับฝั่งผู้ชม ผู้ฟังแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดยังเป็นความสนุกและความรู้สึกเติมเต็มที่ฝั่งนักสร้างสรรค์ได้มีโอกาสส่งต่อสิ่งต่างๆ ตามความสนใจและความชื่นชอบของนักสร้างสรรค์เอง
การเป็น "นักสร้างสรรค์คอนเทนต์" จำเป็นต้องมีความคิดสร้างสรรค์ พร้อมกับก้าวตามเทคโนโลยีให้ทัน เนื่องจากในปัจจุบัน มีสื่อทั้งแบบดั้งเดิม และสื่อดิจิทัลเกิดขึ้นมาใหม่ ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการลงเนื้อหาในเว็บไซต์ หรือโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น YouTube, TikTok หรือ Instagram
ผู้ที่เป็นนักสร้างสรรค์คอนเทนต์ จำเป็นจะต้องรู้วิธีการสร้างเนื้อหาเพื่อนำไปลงในสื่อเหล่านั้น และยังต้องทราบเกี่ยวกับระบบการจัดการ กฏ และข้อกำหนดในการสร้างเนื้อหาในแต่ละช่องทางด้วย เช่น การสร้าง Reels หรือ Story ใน Instagram จะต้องใช้เวลาไม่เกินกี่วินาที ขนาดเท่าไหร่ และควรจะทำอย่างไร ให้สิ่งที่ต้องการสื่อสารสามารถเข้าไปอยู่ในเนื้อหาได้หมดและน่าสนใจ
หน้าที่และความรับผิดชอบของContent Creator
นอกจากจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ และมีความรู้ด้านสื่อแล้ว ยังควรมีความรู้พื้นฐานด้านการตลาดอีกด้วย เนื่องจาก การสร้างสรรค์เนื้อหาเพื่อให้ตรงใจผู้บริโภค และการลงเนื่อหาในช่องทางที่เหมาะสม เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ด้านการตลาดที่ช่วยขยายฐานผู้บริโภคให้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังควรมีความรู้ด้านการใช้แอปพลิเคชันหรือโปรแกรมต่าง ๆ ในการสร้างสรรค์เนื้อหา เช่น Photoshop โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ เป็นต้น
10 สกิลสำหรับนัก Content Creator
เส้นทางการเป็น ผู้สร้างคอนเทนต์ นั้น ไม่ได้ระบุว่าต้องจบการศึกษาในระดับสูง แต่ควรมีทักษะ และความรู้พื้นฐานด้านการตลาด และการวิเคราะห์ ดังนั้นจึงควรจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย
จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีในสาขาการตลาด การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การสื่อสาร หรือสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
.ควรเข้าเรียนหลักสูตรด้านสื่อโซเชียลมีเดียในสถาบันอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การเข้าสัมมนาในหลักสูตรการเปิดร้านใน TikTok หรือ การเรียนเรื่อง Digital Marketing และการใช้งาน Google Analytics เป็นต้น
สมัครงานในตำแหน่ง ผู้สร้างคอนเทนต์ ตามองค์กรต่าง ๆ เพื่อสั่งสมประสบการณ์
ควรเรียนเสริมทักษะอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การทำ Photoshop การตัดต่อวิดิโอ การถ่ายภาพ เป็นต้น
เส้นทางการเป็น ผู้สร้างคอนเทนต์ สามารถเลื่อนตำแหน่งเป็นในระดับผู้จัดการ หรือเป็น Head of Content ได้
สำหรับทักษะที่ นัก Content Creator ต้องมีดังต่อไปนี้
1.ทักษะการใช้สื่อสังคมออนไลน์
นัก Content Creator ในปัจจุบันทำงานคู่กับโลกออนไลน์ ผลิตเนื้อหาหรือคอนเทนต์ต่างๆ สู่ผู้ชม (audience) ผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก หนึ่งในทักษะแรกที่มีความสำคัญ คือทักษะการใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือ Social Media ต่างๆ อย่างถูกต้องและชาญฉลาดนั่นเองค่ะการมีทักษะการใช้ Social Media ต่างๆ เช่น Facebook, Instagram รวมถึงเหล่า Social Media รุ่นใหม่ๆ ถือเป็นจุดที่สำคัญ และยังไม่ใช้แค่ใช้เป็นเฉยๆ แต่คือใช้เป็นอย่างชาญฉลาดและเข้าใจ นักสร้างคอนเทนต์ที่ดีและเก่งควรรู้และเข้าใจธรรมชาติ จุดเด่นและจุดด้อยของแต่ละ Social Media แพลตฟอร์มใดเหมาะกับคอนเทนต์ใด หรือคอนเทนต์ในรูปแบบไหนที่จะเหมาะลงและสามารถดึงความสนใจผู้ชมในแพลตฟอร์มนี้ได้มากที่สุด
2.ทักษะการค้นคว้า
การผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ นอกเหนือจากการเลือกที่จะผลิตบนฐานความสนใจ ความปรารถนา หรือ Passion ของเราแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญแน่นอนว่าก็คือการพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆรวมด้วย ผ่านการศึกษา ค้นคว้า และวิเคราะห์นั่นเองค่ะลักษณะของคอนเทนต์ที่ใช่ควรเป็นแบบไหน ควรผลิตคอนเทนต์ออกมาในรูปแบบใด ลงในแพลตฟอร์มไหนดีที่สุด รวมถึงช่วงเวลาไหนที่เหมาะสมที่สุดในการโพสต์ และอื่นๆ ปัจจัยเหล่านี้ ยิ่ง Content Creator ศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เปรียบและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น
3.ทักษะเชิงศิลป์ทางเทคนิค
การมีความคิดเชิงสร้างสรรค์โดยธรรมชาติอาจเป็นพรสวรรค์ แต่ที่เหนือกว่าคือยังมีความรู้เชิงเทคนิคติดตัวด้วย ทักษะเชิงศิลป์ทางเทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การตัดต่อรูปภาพไปจนถึงวิดีโอ ยิ่ง Content Creator มีความรู้ตรงนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้เปรียบในการคิดสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆ เข้าใจได้แทบจะทันทีว่าแนวคิดในหัวของเราจะสามารถเปลี่ยนไปเป็นรูปคอนเทนต์ที่สมบูรณ์ในโลกออนไลน์ได้อย่างไรไม่ว่าจะเป็นสายลุยเดี่ยว หรือทำงานคู่กับบุคลากรในตำแหน่งอื่นๆ เช่น Graphic Designer การมีทักษะตรงนี้เป็นพื้นฐานก็ยังคงมีความสำคัญ และยังสามารถช่วยให้การสื่อสาร แลกเปลี่ยน ทำงานระหว่างกันเป็นไปอย่างราบรื่น
4.ทักษะกลยุทธ์การทำคอนเทนต์และการตลาด
คอนเทนต์คืออะไร คอนเทนต์มีกี่แบบ และในการผลิตคอนเทนต์หนึ่งๆ เราจะสามารถใช้กลยุทธ์หรือวิถีการทางการตลาดใดได้บ้างในการเข้าถึงกลุ่มผู้ชมทั้งเก่าและใหม่ นอกเหนือจากการศึกษาค้นคว้าเทรนด์หรือปัจจัยอื่นๆ ทั่วๆ ไป การศึกษากลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับการทำคอนเทนต์โดยเฉพาะ เช่น การระบุ Audience Personas, การทำ Positioning ฯลฯ ล้วนถือเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับ Content Creator โดยเฉพาะ Content Creator ในสเกลบริษัทหรือโปรเจกต์ใหญ่ๆ ยิ่งมีการวางแผนดีเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการทำคอนเทนต์ออกมาได้อย่างตรงจุด วิ่งแซงคู่แข่ง
5.ทักษะการจัดการโปรเจก
ในยุคที่การทำงานมีความซับซ้อนมากขึ้นและการทำงานอย่างฉับไว รวดเร็ว และถือเป็นสิ่งสำคัญ อีกหนึ่งทักษะยอดฮิตในปัจจุบันและโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Content Creator เช่นกันก็คือ การจัดการโปรเจก (Project Management) ถือได้ว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตสำหรับ Content Creator สำหรับหลายๆคนเลยทีเดียวที่หลายๆครั้งนอกเหนือจากต้องดูแลโปรเจกหนึ่งๆ ให้สำเร็จลุล่วงแล้ว ยังต้องดูแลโปรเจกอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย และยังไม่รวมถึงงานเล็ก งานน้อย การประชุม และอื่นๆ
6.ทักษะความคิดสร้างสรรค์
มีทักษะเชิงเทคนิค (hard skills) แล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญก็คือการมีทักษะเชิงสังคมและอารมณ์ (soft skills) ซึ่งหนึ่งในทักษะเชิงสังคมและอารมณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับ Content Creator แน่นอนว่าก็คือทักษะ Creativity ความคิดสร้างสรรค์ หรือความสามารถในการคิด เชื่อมโยง ประยุกต์ และสร้างสรรค์ นำเสนอสิ่งต่างๆ ออกมาในรูปแบบที่น่าสนใจ ใหม่ๆ หรือที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมContent Creator ที่เก่งๆ นัยหนึ่งแล้วล้วนคือ Content Creator ที่สามารถใช้ทักษะความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองได้อย่างถูกจุดและชาญฉลาด มีความกล้าหาญ รวมถึงความสามารถในการเชื่อมโยง สร้างสรรค์ และนำเสนอสิ่งต่างๆ ออกมาในรูปแบบที่ตัวเองเชื่อว่าจะสามารถดึงความสนใจของผู้ชมได้อย่างอยู่หมัด
7.ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง
อาชีพ Content Creator อยู่กับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ สร้างสรรค์สิ่งที่น่าสนใจ ถ้าไม่ใช่ใหม่ทั้งหมด อย่างน้อยก็ต้องมีสิ่งใหม่ๆ องค์ประกอบใหม่ๆ อยู่บ้างในคอนเทนต์หนึ่งๆ การจะอยู่ในเกม วินคู่แข่ง หรือเอาชนะใจผู้ชม การมีความชื่นชอบและทักษะอาชีพ ในการเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นทุนเดิมจึงถือว่ามีความสำคัญและช่วยให้ได้เปรียบมากๆ ยิ่ง Content Creator ชื่นชอบและรักการเรียนรู้มากเท่าไหร่ โอกาสในการเข้าถึงโอกาสและไอเดียใหม่ๆ ในการนำเสนอคอนเทนต์ที่น่าสนใจของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
8.ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น
Content Creator มีสองสาย สายลุยเดี่ยวในแบบ Influencers หรือในแบบบุคลากร ในเอเจนซี่ บริษัท หรือองค์กร แต่ไม่ว่าจะเป็นสายไหน การมีทัศนคติ (mindset) ที่ดีและเปิดรับต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่นก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งในสายเอเจนซี่หรือองค์กร การมีทักษะทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ในตำแหน่งอื่นๆ เช่น Graphic Desiner ยิ่งมีความสำคัญในการช่วยกันระดมความคิด ออกแบบ และนำเสนอไอเดีย กล่าวโดยง่ายคือ ยิ่งบุคลากรในทีมคอนเทนต์สามารถทำงานร่วมกันได้ดีมากเท่าไหร่ โอกาสที่คอนเทนต์จะออกมาดีก็ยิ่งสูงมากขึ้นนั่นเอง
9.ทักษะการปรับตัวเปลี่ยนแปลง
เทรนด์คอนเทนต์ที่น่าสนใจ ความนิยมของ Social Media หนึ่งไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงฟีเจอร์ต่างๆ นอกเหนือจากทักษะอื่นๆ ที่ว่ามา อีกหนึ่งทักษะที่สำคัญสำหรับ Content Creator ก็คือการคอยอัปเดต เรียนรู้ และลื่นไหลไปกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ล้วนสามารถมีผลต่อการผลิตและความสำเร็จของ Contentการเปลี่ยนหน้าตาของ Facebook การอัปเดตฟีเจอร์บางอย่างของ Instagram เทรนด์เรื่องราวหนึ่งๆ ที่น่าสนใจหรือที่เปลี่ยนไปแล้วContent Creator ถือเป็นอาชีพหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบการเรียนรู้ อัปเดตสิ่งที่น่าสนใจ และพร้อมที่จะปรับตัว เปลี่ยนแปลงคอนเทนต์ของตัวเองอยู่เสมอ
10.ทักษะความฉลาดทางอารมณ์
แม้ภายนอกอาจดูเหมือนเป็นอาชีพที่ง่าย แค่ผลิตคอนเทนต์ หรือใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่ความจริงแล้ว อาชีพ Content Creator เป็นอาชีพที่ต้องใช้เวลาอยู่กับความผันผวนของสิ่งต่างๆ อยู่พอสมควร ทั้งเทรนด์ที่น่าสนใจ ฟีเจอร์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด รวมไปถึงโอกาสที่ยอด Engagement จะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง คอนเทนต์ไม่ประสบความสำเร็จ เข้าถึงผู้ชมไม่ได้ นอกเหนือจากทักษะอาชีพ ด้าน Soft Skills ทั้งหมดที่ว่ามาแล้ว ทักษะสุดท้ายที่มีความสำคัญอย่างยิ่งไม่แพ้กันสำหรับนัก Content Creator ก็คือทักษะความฉลาดทางอารมณ์นั่นเอง
ในฐานะผู้ผลิต เราย่อมอยากให้ผลงานออกมาดี ปัง ประสบความสำเร็จ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายๆ ครั้ง ผลลัพธ์ก็ไม่ได้เป็นตามที่เราคาดหวังเสมอไป เราจะฝึกตัวเองให้มีทักษะความฉลาดทางอารมณ์ เช่น การล้มและสามารถที่จะลุกด้วยตัวเอง (resilience), การมีทักษะที่เปิดกว้างต่อการเติบโต (growth mindset) และอื่นๆ ได้อย่างไร รวมถึงเหล่าทักษะง่ายๆ อย่างการช่วยให้เราผ่อนคลายเวลาทำงาน สามารถดูแลอารมณ์ ความผิดหวังของตัวเองได้อย่างชาญฉลาด
อาชีพ Content Creator เป็นอาชีพที่ทำงานกับความคิดสร้างสรรค์ ไอเดีย การผลิตออกมาจากตัวเองโดยตรง การจัดการ รับมือกับอารมณ์ของตัวเราเองต่างๆ ความคาดหวัง ความผิดหวังจึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ยิ่ง Content Creator สามารถจัดการกับปัจจัยตรงนี้ได้อย่างดีและชาญฉลาดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเก่งในการล้มและลุกเร็ว ไม่กลัวความผิดหวัง ความล้มเหลวชั่วครั้งชั่วคราว และการเปลี่ยนแปลง พร้อมที่จะพัฒนาและปรับตัว เปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เสมอ
ทักษะใหม่! ที่คนวัยทำงานต้องมี ไม่พลาดงานในอนาคต
การเตรียมพร้อมสำหรับงานและหน้าที่ใหม่ๆ รวมถึงพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในยุคดิจิทัลที่ทุกสิ่งทุกอย่างก้าวไปข้างหน้าทุกวินาที นั่นก็เพราะทักษะแห่งอนาคตนั้นเป็นสิ่งที่คนทำงานทุกคนควรเรียนรู้
รายงาน Future of Jobs ของ World Economic Forum ระบุว่า ภายในปี 2025 จะมีพนักงานกว่า 50% ที่จำเป็นต้องได้รับฝึกฝนทักษะใหม่ ทว่าแบบสำรวจของ PwC ที่สอบถามผู้นำธุรกิจและหัวหน้าฝ่ายบุคลากรกลับเผยให้เห็นว่า มีเพียง 26% เท่านั้นที่เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าพวกเขาสามารถระบุทักษะที่จำเป็นต่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีได้อย่างชัดเจน
ถึงระบบอัตโนมัติจะค่อยๆ ลดความจำเป็นในการทำงานที่ซ้ำซากจำเจและต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมากลง ทว่านอกเหนือจากการนำแรงงานที่เป็นหุ่นยนต์มาแทนที่แรงงานมนุษย์แล้ว ปรากฏการณ์นี้กลับต้องอาศัยทักษะด้านอารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าไม่สำคัญมาอย่างยาวนานด้วยเช่นกัน
10 อาชีพมาแรงในอนาคต ควรมีทักษะแบบไหน?
ก่อนจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจถึงทักษะทั้งหมดที่จำเป็นต่อการทำงานในยุคดิจิทัลนั้น มาทำความรู้จัก 10 อาชีพที่จะมาแรงในอนาคต มีดังต่อไปนี้
1. Software Developer
เริ่มต้นที่อาชีพที่เป็นที่ต้องการในอนาคตอันดับแรก ๆ คงหนีไม่พ้น Software Developer เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในทุก ๆ ธุรกิจหรือทุกองค์กรต่างก็มีเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของตัวเอง เพื่อสร้างความสะดวกสบายและการใช้งานที่ราบรื่นให้กับลูกค้าของตนเองแทบทั้งสิ้น ดังนั้นอาชีพนี้จึงถือเป็นอาชีพที่มั่นคงลำดับต้น ๆ และเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างสูง
โดยอาชีพนี้ต้องอาศัยความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในการพัฒนาเรื่องของ Information Technology ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นฝั่งฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ และแอปพลิเคชัน ให้ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรหรือบริษัท รวมไปถึงการตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในธุรกิจนั้น ๆ ด้วย เพราะการมีเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ถือเป็นช่องทางในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และสามารถวัดผลความก้าวหน้าทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี
ส่วนทักษะที่ต้องมีติดตัวไว้สำหรับอาชีพนี้ เช่น Coding Language, Machine Learning, Analytical Skills และ Mathematics และ Statics หากทำงานไปสักระยะอาจต่อยอดไปสู่สายงานอย่าง Programmer Analysts ได้เช่นกัน
ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 25,000-140,000 บาท/เดือน
2. AI & Machine Learning Engineer
หากพูดถึงเรื่องราวของโลกอนาคต ณ เวลานี้คงหนีไม้พ้นเรื่องของ AI ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทกันมากพอสมควรแล้ว และมั่นใจได้เลยว่า AI Engineer และ Machine Learning Engineer จะเป็นอาชีพมาแรงที่ต้องการในอนาคตอย่างสูงแน่นอน โดยอาชีพนี้จะอาศัยความเชี่ยวชาญในการด้านการผลิตและการเรียนรู้เครื่องจักรกล เพื่อเป็นการร่วมกันผลิตผลงานโดยมนุษย์และ AI ให้ออกมามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยทักษะที่อาชีพนี้จำเป็นต้องมี เช่น Coding และ Computer Skill, Marketing Skill, Machine Learning หรือ Mathematics และ Statics ฯลฯ ส่วนการต่อยอดในสายอาชีพนั้นสามารถเติบโตไปสู่การเป็น Machine Learning Engineer หรือ Data Engineer ได้
ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 60,000-80,000 บาท/เดือน
3. Data Analysts
ในตอนนี้ต้องบอกเลยว่าเราอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของข้อมูลที่จะคอยขับเคลื่อนให้การทำการตลาด หรือการดำเนินธุรกิจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยวางแผนในการดำเนินด้านกลยุทธ์ให้บริษัทนั้น ๆ มีชัยเหนือคู่แข่ง ดังนั้นอาชีพ Data Analysts จึงถือเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญขององค์กรและเป็นที่ต้องการในตลาดงาน และเป็นอาชีพมาแรงซึ่งเป็นที่ต้องการในอนาคตไม่แพ้อาชีพอื่น ๆ
โดยหน้าที่ของ Data Analyst คือต้องวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็น Insights เพื่อตอบรับเรื่องของการวางกลยุทธ์ วิเคราะห์เรื่องของยอดขาย ผสานกับการดูแลเรื่องต้นทุนในธุรกิจของบริษัท รวมไปถึงการรวมรวมข้อมูลต่างๆ ที่มี เพื่อนำมาใช้ส่งเสริมการทำงานของฝ่ายการตลาด ฝ่ายจัดการธุรกิจ หรือแผนกที่เกี่ยวข้องกับ Supplier
สำหรับทักษะของสายอาชีพนี้ที่ต้องมีก็เช่น Mathematics และ สถิติ, Analytical Skill, Communication Skill, Storytelling, Microsoft Excel และ SQL ตลอดไปถึงการเข้าใจเรื่องของกระบวนการธุรกิจ หากเติบโตขึ้นก็สามารถพัฒนาไปยังตำแหน่ง Business Development หรือ Static Analysis ได้
ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 40,000-80,000 บาท/เดือน
4. Data Scientists
สำหรับอาชีพ Data Scientists อีกหนึ่งอาชีพมาแรงที่มองเผิน ๆ อาจคล้ายกับ Data Analyst แต่จริง ๆ แล้วมีความแตกต่างกันอยู่ ซึ่งตัวของ Data Scientists จะเปรียบเหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูล ก่อนที่จะนำข้อมูลนั้นมาสรุปผลออกมาเป็นรายงานที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปต่อยอดในส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจ เช่น การทำตลาด หรือการวางแผนธุรกิจ ซึ่งหลัก ๆ อาชีพนี้จะทำหน้าที่ 2 ส่วนก็คือ การวิเคราะห์ผสานโมเดลการทำนายผล และวิเคราะห์เพื่อพัฒนากระบวนการทำงานให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งยังต้องคอยให้คำปรึกษาและการให้ข้อมูลที่แม่นยำแก่ฝ่ายบริหาร ฝ่ายจัดการ หรือฝ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะได้นำไปต่อยอดในการกระตุ้นยอดขาย หรือสร้างแคมเปญโปรโมตสินค้าและบริการ ให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุนไปมากที่สุด
ด้านทักษะที่ต้องมีติดตัวไว้ก็คือ Mathematics และ Statics, Machine Learning, Software Engineering, Data Analysis, Data Visualizations รวมไปถึงการเข้าใจด้านการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น ส่วนการต่อยอดในอาชีพสามารถพัฒนาไปยังอาชีพ Data Engineer หรือ Programmer ก็ได้เช่นกัน
ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 35,000-80,000 บาท/เดือน
5. Digital Marketing
เมื่อเราอยู่ในยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว จะเห็นได้ว่าเรื่องของการทำการตลาดก็มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย จนกลายเป็นอาชีพ Digital Marketing ที่เทคโนโลยีเข้ามาบทบาทในการช่วยทำการตลาดให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นอาชีพนี้จึงถือเป็นอีกอาชีพมาแรงและเป็นอาชีพยอดฮิตติดเทรนด์ทั้งในปัจจุบันนี้และในอนาคตนั่นเอง
โดยผู้ที่ทำอาชีพนี้ จะต้องมีความรู้ด้าน Digital Marketing รวมไปถึงสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นได้ เพื่อนำไปใช้ต่อยอดหรือโปรโมตธุรกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้มากขึ้น เช่น สื่อออนไลน์ และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย อีกทั้งยังต้องทำหน้าที่ในการคิดคอนเทนต์ คำโฆษณา หรือเนื้อหาต่าง ๆ ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้กลายมาเป็นกลุ่มลูกค้าของธุรกิจ รวมไปถึงการพัฒนาประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลต่าง ๆ ด้วย
ในส่วนของทักษะที่ต้องมี ได้แก่ Marketing Skill, Technical Skill, Creative Data Analytic Skill, Digital Presentation Skill, Content Creator Skill, E-Commerce, SEO/SEM, Graphic Designer รวมไปถึงความรู้ในการใช้ Tools หรือเครื่องมือออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อโปรโมตและดึงข้อมูลด้านการตลาดออนไลน์ ฯลฯ
ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 30,000-80,000 บาท/เดือน
6. Digital Marketing Analyst
สำหรับอาชีพนี้อาจจะมีความคล้ายคลึงกับ Digital Marketing แต่จะแตกต่างกันตรงที่ Digital Marketing Analyst จะเป็นการผสมผสานระหว่าง Data Analyst และ Digital Marketing เข้าไว้ด้วยกัน โดยหน้าที่หลักก็คือ จะต้องหาข้อมูล Insight เกี่ยวกับตัวผู้บริโภคและลูกค้าของธุรกิจ รวมไปถึงการทำรีเสิร์ชเกี่ยวกับ เทรนด์การตลาด ในธุรกิจที่ดูแล จากนั้นก็นำข้อมูลตรงนั้นมาวิเคราะห์ ก่อนการทำ การตลาดออนไลน์ เช่น การลงแอดโฆษณา, การทำ A/B Testing นอกจากนี้ยังต้องทำหน้าที่เสนอแผนงานให้ฝ่าย Sales & Marketing หรือ ฝ่าย Business Development ของบริษัท เพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น
ด้านทักษะที่ควรมี ได้แก่ Data Analytical Skill, Data Visualization, Marketing Skill, Communication Skill, Presentation Skill รวมไปถึงการใช้ Tools ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Digital Marketing
ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 50,000-80,000 บาท/เดือน
7. Business Operations
สำหรับอาชีพ Business Operations จะเน้นการสื่อสารและพัฒนาภายในองค์กรเป็นหลัก โดยจะทำหน้าที่ในการดูแลระบบการทำงานภายในองค์กร คอยจัดการขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด ซึ่งจะเป็นเริ่มต้นดูแลตั้งแต่ระดับทีม แผนก ไล่ยาวไปจนภาพใหญ่อย่างระดับองค์กร ทั้งนี้ก็เพื่อให้การทำงานต่าง ๆ ภายในบริษัทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีระเบียบแบบแผน ป้องกันการเกิดปัญหาภายในองค์กรให้น้อยที่สุด เพราะหากภายในบริษัทมีระบบรากฐานที่ดี ก็จะช่วยให้ผลิตงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนถึงมือลูกค้านั่นเอง อาชีพ Business Operations จึงเป็นอีกหนึ่งอาชีพมาแรงและเป็นที่ต้องการในอนาคต
ผู้ที่อาชีพนี้จะต้องมีทักษะ ได้แก่ Business Development, Project Management, Communication Skill หรือ Presentation Skill ฯลฯ นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดด้านอาชีพไปเป็น Project Manager และ Business Development ได้
ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 30,000-50,000 บาท/เดือน
8. Organization Development
แม้ AI กำลังจะเข้ามามีบทบาทในโลกการทำงานมากขึ้น แต่บอกเลยว่าเรื่องของการบริหารมนุษย์นั้น ยังไงมนุษย์ด้วยกันเองก็สามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่า AI แน่นอน ดังนั้นสายงานด้าน Organization Development ยังไงก็ไม่มีทางตกเทรนด์ และเป็นอาชีพที่ต้องการในอนาคตต่อไป
โดยตำแหน่งนี้เปรียบเสมือนผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาองค์กร ซึ่งจะทำหน้าที่ในการดูและปรับปรุงองค์กรให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยังต้องประเมินการทำงานของแต่ละแผนก เพื่อสร้างฟีดแบ็คให้แต่ละฝ่ายนำกลับไปพัฒนาตนเอง ต่อยอดให้องค์กรดำเนินงานได้อย่างไหลลื่นและมีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนี้ยังต้องทำหน้าที่ในการเพิ่มเติมความรู้ จัดหา คอร์สอบรม พิเศษให้แก่พนักงาน เพื่อพัฒนาทักษะของตนเองอีกด้วย
โดยทักษะที่จำเป็นต้องมี ได้แก่ Human Resources, Project Management, Communication Skill, Training Skill หรือ Business Development ฯลฯ
ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 40,000-60,000 บาท/เดือน
9. Cybersecurity
ในยุคนี้นอกจากจะเจอการระบาดของโรคภัยแล้ว หลายคนยังต้องเผชิญกับการระบาดของมิจฉาชีพออนไลน์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกด้วย ยิ่งโลกของเราพัฒนาไปไกล มิจฉาชีพก็ไม่หยุดพัฒนาตัวเองในการหลอกผู้เสียหายด้วยเช่นกัน ดังนั้น อาชีพ Cybersecurity จึงถือเป็นอาชีพมาแรงทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างแท้จริง แถมยังขาดแคลนในตลาดแรงงานทั่วโลกในตอนนี้อีกด้วย เพราะแม้แต่คนทั่วไปยังมีมิจฉาชีพโทรศัพท์หรือส่ง SMS เข้ามาป่วนไม่เว้นแต่ละวัน เช่นเดียวกันกับองค์กรใหญ่ ที่ก็เจอกับเหล่ามิจฉาชีพในรูปแบบต่าง ๆ จนเกิดความเสียหาย อาชีพ Cybersecurity จึงเป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ
อาชีพด้าน Cybersecurity จะต้องคอยดูแลระบบความปลอดภัยด้านดิจิทัลให้แก่องค์กร ไม่ว่าจะเป็น ความปลอดภัยบนคอมพิวเตอร์ ความปลอดภัยของเครือข่าย ความปลอดภัยด้านโปรแกรมและระบบปฏิบัติการ ความปลอดภัยของโปรโตคอล ความปลอดภัยด้านรหัสหรือข้อมูล ฯลฯ เพื่อให้ข้อมูลบริษัทปลอดภัยจากเหล่ามิจฉาชีพมากที่สุด
โดยทักษะที่จำเป็นที่ต้องมี ได้แก่ ทักษะ Programming หรือ Coding ความรู้ด้านระบบอินเทอร์เน็ต วิศวกรคอมพิวเตอร์ ทักษะด้านซอฟแวร์และการใช้เครื่องมือ Cybersecurity ทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ฯลฯ
ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 60,000-100,000/เดือน
10. Content Creator
ปิดท้ายด้วยกันด้วยอาชีพมาแรงแห่งยุค ต้องขอบอกเลยว่าอาชีพนี้ก็คงมาแรงต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะเราจะสังเกตเห็นได้ว่าในปัจจุบันมี Content Creator ในช่องทางต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งคนที่หันมาทำอาชีพนี้กันอย่างจริงจัง หรือคนที่ทำเป็นอาชีพเสริม หากทำแล้วปัง สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ก็สามารถหารายได้แบบเป็นกอบเป็นกำได้ไม่ยาก
หน้าที่หลัก ๆ ของอาชีพ Content Creator จะต้องถ่ายทอดเรื่องราวหรือสิ่งที่จะสื่อออกมาได้อย่างเป็นดี ทั้งในเรื่องของการเขียน การคิดแคปชันสำหรับ Content Writer การผลิตคอนเทนต์วิดีโอ ตลอดไปจนถึงการเรียนรู้ด้านการตลาดเบื้องต้น ต้องรู้ว่าเทรนด์ ณ ขณะนั้นเป็นอย่างไร ผู้บริโภคกำลังสนใจสิ่งไหนและต้องการอะไร ยิ่งหากใครที่ทำคอนเทนต์วิดีโอด้วยแล้ว อาจต้องอาศัยความกล้าแสดงออกเข้ามาผสม ในการรับบทเป็นพิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการ มีการพูดที่ฉะฉาน สามารถสื่อสารได้อย่างเข้าใจชัดเจนและให้ผู้ชมคล้อยตามมากที่สุด
ทักษะหลัก ๆ ที่จำเป็นต้องมี ได้แก่ Writing Skill, Copywriting Skill, การพูด, การดำเนินรายการ, การทำกราฟิก, การตัดต่อวิดีโอ, Motion Effect, Marketing Skill, Communication Skill ฯลน โดยสามารถต่อยอดอาชีพไปเป็น Content Manager, Content Marketing หรือ Creative Director ได้
ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 25,000-50,000 บาท/เดือน
3 ทักษะใหม่สุดปัง ที่คนวัยทำงานต้องมีในอนาคต
1.ทักษะชำนาญการเฉพาะตัวที่ยังขาดไม่ได้
ก่อนที่เราจะพัฒนาตัวเองไปสู่ทักษะ Meta Skill สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำงาน ยังคงเป็น ทักษะพื้นฐานสำหรับการทำงานที่ทุกคนต้องมี หรือที่เรียกว่า Hard Skill เป็นทักษะทางด้านความรู้และด้านเทคนิค ตลอดจนความชำนาญเฉพาะทาง หรือความสามารถด้านวิชาชีพที่เราร่ำเรียนมานั่นเอง เช่น ความถนัดทางด้านภาษา สามารถสื่อสารได้หลายภาษา ความถนัดด้านการเขียนโค้ด เป็นโปรแกรมเมอร์เป็นต้น
แม้จะเป็นทักษะความชำนาญเฉพาะทางแต่เราในฐานะพนักงานก็ควรต้องปรับตัวและพัฒนาตัวเองตลาดเวลาเพื่อให้เข้ากับความต้องการและเทรนด์ของตลาด ด้วยการหมั่นศึกษาและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ไม่ยึดติดแต่กับงานหรือความรู้เดิม ๆ ที่เรียนมา และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
2.มนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศคือสิ่งที่พึงมี
นอกจากทักษะจำเป็นพื้นฐานอย่าง Hard Skill แล้ว ความสามารถด้านสังคมก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะในการสื่อสาร การโน้มน้าวใจคน การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การทำงานเป็นทีม การรู้จักแก้ปัญหา ที่มีอยู่ในทักษะ Soft Skill ก็เป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานและการช่วยให้องค์กรมีความก้าวหน้า ซึ่งทักษะ Soft Skill ไม่ใช่ทักษะที่ทุกคนจะพึงมีติดตัวเหมือนกับ Hard Skill แต่เราสามารถที่จะเรียนรู้ ฝึกฝนให้ชำนาญการได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง นอกจากช่วยองค์กรแล้ว ยังสามารถช่วยให้ตัวเองมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้อีกด้วย
3.ทัศนคติดี พร้อมเรียนรู้สำคัญที่สุด
ภายใต้แนวคิดที่ว่า เราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต หรือ Lifelong Learning คือที่มาของทักษะ Meta Skill ความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา มีความกระหายใคร่รู้ เพื่อพัฒนาตัวเองและพัฒนาองค์กร และสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ พร้อมต่อยอดไอเดียเก่า ถือว่า Meta Skill คือทักษะที่คนทำงานควรมีในอนาคต เลยก็ว่าได้ หากแบ่งเป็นข้อ ๆ แล้ว Meta Skill ที่พนักงานควรมีนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 ข้อ ดังต่อไปนี้
Self-Awareness เป็นความตระหนักรู้ได้ด้วยตัวเอง รู้จักและเข้าใจตัวเอง และเข้าใจความเป็นจริงของโลก จะทำให้เรายอมรับและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี เพราะปัจจุบันเทรนด์ของงานมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทั้งจากการ Rotate งาน หรือการต้องทำงานได้แบบ Multi-tasking เป็นต้น
Creativity มีความคิดสร้างสรรค์ ฉลาด รู้จักแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ด้วยตัวเอง สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้เสมอ งานในปัจจุบันแทบทุกสาขาวิชาต้องการความคิดสร้างสรรค์ เข้ามาช่วย เพื่อให้เหนือกว่าคู่แข่งทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่เพียงงานด้านโฆษณาอีกต่อไปแล้วที่ต้องการไอเดียบรรเจิด การนำเสนอไอเดียที่แตกต่าง อาจนำมาซึ่งผลกำไรมหาศาลให้กับองค์กรก็เป็นได้
Resilience มีความยืดหยุ่นทางความคิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยาก แต่หากทำได้แล้วนั้นจะสามารถพัฒนาตัวเอง และช่วยพัฒนาองค์กรได้ดีมาก ถือเป็นทักษะขั้นสูงสุดเลยก็ว่าได้ คล้าย ๆ กับการปล่อยวางกับปัญหา ไม่มองว่ามันคือปัญหา แต่เป็นโจทย์หนึ่ง ที่รอให้เราแก้ไขให้ได้มากกว่า
การจะเป็นพนักงานที่องค์กรต้องการนั้น ต้องหมั่นพัฒนาทักษะ และพร้อมเปิดรับความรู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าคุณต้องเป็นพนักงานที่มีความสามารถรอบได้ ทั้งความสามารถด้านวิชาชีพ ความสามารถทางสังคม และความสามารถทางความคิด
5 ทักษะที่ไม่ควรพลาด มีไว้ไม่ตกงาน
แม้ไม่มีใครรู้ว่าทักษะแห่งอนาคตที่ผู้ประกอบการในยุคปี 2030 ต้องการให้บุคลากรมีนั้นคืออะไรบ้าง แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เปิดเผยโดยมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก ได้ระบุถึง 5 ทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคตไว้ดังนี้
1. ทักษะการเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ๆ
เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา มีข้อดีที่ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตหรือทำงานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่การจะใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพสูงสุด คุณจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจในกระบวนการทำงานของสิ่งนั้นเสียก่อน
ลองสำรวจตัวเองดูว่าคุณมีความสามารถในการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเข้ามา รวมถึงรับมือกับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้หรีอไม่ ถ้าคุณตอบว่าใช่ นั่นก็แปลว่าคุณมีทักษะแห่งอนาคตที่เหมาะกับการทำงานในตำแหน่งสูงๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการตัวจากทั้งบริษัท หัวหน้า และเพื่อนร่วมงานของคุณ
2. ทักษะความรู้ด้านดิจิทัลและการคิดเชิงคำนวณ
จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีเครื่องมือต่างๆ มากมายที่ใช้สำหรับการทำงาน เช่น การเขียนโปรแกรม จัดการระบบฐานข้อมูล รวมถึงอะไรก็ตามที่ต้องใช้ทักษะขั้นสูงในการดำเนินงาน นั่นทำให้ความต้องการบรรดาคนที่มีทักษะด้านดิจิทัลขั้นสูงเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับ STEM มาจากที่ไหนสักแห่ง แต่เราไม่แน่ใจว่าคุณพอจะเห็นเรื่อง SMAC (social, mobile, analytics และ cloud) ผ่านตาบ้างไหม เจ้าสิ่งนี้คือเรื่องที่คุณควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้คุณเข้าใจว่าบรรดาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), machine learning, Internet of Things (IoT) และ data science คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไรในอนาคต
3. ทักษะความเป็นผู้นำและความสามารถในการตัดสินใจ
แม้ว่าหุ่นยนต์และเทคโนโลยีอัตโนมัติต่างๆ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำงานแทนที่มนุษย์ในหลายๆ ด้าน เช่น การคำนวณ และการตรวจสอบปัญหา ถึงอย่างนั้น มนุษย์เราก็ยังเป็นผู้ที่คอยจัดการข้อมูล และทำการวิเคราะห์เพื่อหาทางออกหรือผลลัพธ์ที่ต้องการอยู่ดี
ตอนนี้พวกเราทุกคนกำลังอยู่ในจุดสิ้นสุดของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 นั่นหมายความว่างานทุกสิ่งทุกอย่างที่มีการดำเนินงาน ยังคงต้องการใครสักคนมาคอยตัดสินใจและชี้ทิศทางที่เหมาะสมในการทำงาน จากการวิเคราะห์เรื่องตัวเลขและรายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งนั้นมีความสำคัญอย่างไร รวมถึงจะนำข้อมูลที่มีอยู่แล้วไปพัฒนาอะไรต่อได้บ้าง
4. ทักษะด้านความฉลาดทางอารมณ์และการเข้าสังคม
ทุกคนคาดการณ์ไว้ว่าในอนาคตทุกสิ่งจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่อาจเข้ามาแทนที่ความฉลาดทางอารมณ์และความสามารถในการเข้าสังคมของมนุษย์อย่างพวกเราได้ เพราะนี่คือหนึ่งในทักษะแห่งอนาคตสุดแสนพิเศษที่มีอยู่ในตัวพวกเราทุกคน
ทักษะด้านความฉลาดทางอารมณ์และการเข้าสังคมมีความสำคัญมากในงานหลายประเภท เช่น งานด้านสุขภาพมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยคนที่เข้าใจเพื่อนมนุษย์ในการทำงานนี้ หากงานของคุณในอนาคตจำเป็นต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับคนอื่น ความเห็นอกเห็นใจจึงเป็นสิ่งที่ควรมีอย่างยิ่ง รวมถึงการมีทักษะการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม ทักษะเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถทำงานร่วมกันกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น
5.ทักษะความคิดสร้างสรรค์และการคิดเชิงนวัตกรรม
World Economic Forum ได้เปิดเผยรายงานในปี 2018 ว่าอนาคตอันใกล้ หุ่นยนต์อัตโนมัติจะสามารถทำงานและสร้างผลผลิตได้มากกว่าตำแหน่งงานเดิมที่มนุษย์อย่างพวกเราทำอยู่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรกังวลมากเกินไป หากคุณมีทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถนำไปใช้คิดค้นไอเดียหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้
เช่นเดียวกับการมีทักษะเข้าสังคมที่ยอดเยี่ยม การมีความคิดสร้างสรรค์ยังคงเป็นทักษะแห่งอนาคตที่ไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลล่าสุด เพราะตราบใดที่คุณยังคงคิดนอกกรอบจากโจทย์ที่มีอยู่ได้ อนาคตของคุณก็ยังเต็มไปด้วยสิ่งดีๆ ที่รออยู่อย่างแน่นอน
ทำอย่างไร เมื่อมีความเครียดในการทำงาน
ก่อนจะแก้ปัญหา ต้องมาดูถึงสาเหตุกันก่อนว่าอะไร ที่ทำให้เกิดความเครียดในการทำงานได้ ซึ่งถ้าหากวิเคราะห์ได้อย่างถี่ถ้วน ก็จะสามารถขจัดความเครียดในการทำงานได้อย่างตรงจุดมากขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่เครียดจากการทำงาน มักเกิดจากสภาพแวดล้อมภายในออฟฟิศ การกังวลว่างานที่ทำจะออกมาไม่ดีพอ หรือวัฒนธรรมขององค์กรที่ไม่ตอบโจทย์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละคนก็จะเผชิญกับปัญหาที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้สาเหตุอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดความเครียดในการทำงานได้ดังนี้
ได้รู้ถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียด รวมไปถึงผลเสียในระยะยาวที่จะตามมาแล้ว คราวนี้มาดูทริคเด็ดโดนใจมนุษย์เงินเดือนกันบ้าง ว่าควรทำงานอย่างไร ไม่ให้เกิดความเครียด ซึ่งวิธีที่เราแนะนำ ขอบอกเลยว่านำไปปรับใช้ตามกันได้ทุกข้อ โดยเฉพาะใครที่กำลังเครียดกับการทำงานอยู่ ต้องรีบจัดการโดยด่วน
ปรับสภาพจิตใจ
การเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะความเครียดเกิดขึ้นจากเรื่องของจิตใจ ดังนั้นควรเริ่มจากการปรับสภาพจิตใจของเราก่อน เพราะหากเรามีสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง ก็จะสามารถรับมือกับปัญหาหรือความเครียดในการทำงานที่เกิดขึ้นได้ โดยต้องหัดมองให้เห็นถึงความจริงว่า ในโลกนี้ไม่ใครที่ไม่เคยเจออุปสรรค ทุกคนล้วนต้องผ่านจุดนี้มาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น หากคุณมีความคิดแบบนี้ได้ ก็จะช่วยให้รับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น
พยายามเปลี่ยนความคิด
ความคิดในแง่ลบก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเครียดได้ ลองค่อยๆ ปรับตัวเองให้มองโลกในแง่บวกมากขึ้น เราไม่ได้หมายความว่าในคุณมองทุกอย่างเป็นสีพาสเทล แต่ให้ลองมองทุกอย่างด้วยเหตุและผล ค่อยๆ ปรับตัวเองไปเรื่อยๆ ปัญหาอะไรที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไป อย่านำกลับมาคิดโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเรื่องเก่าปนเรื่องใหม่ ทำให้ความเครียดพอกพูนขึ้นแบบทวีคูณ
บริหารเวลาให้ดี
ความเครียดในการทำงานที่หลายคนต้องเจอ คือเรื่องของปริมาณงานที่ถาโถมมาแบบไม่หยุดหย่อน ดังนั้นจึงต้องอาศัยการบริหารจัดการให้ดี พยายามจดบันทึกทุกอย่างที่ต้องทำ โดยอาจทำเป็น To-Do List เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน พิจารณาว่างานไหนที่เร่งด่วน หรืองานไหนที่รอได้ ไม่จำเป็นต้องอัดทุกอย่างให้เสร็จภายในวันเดียว หรือหอบงานกลับไปทำที่บ้าน
หาเวลาพักระหว่างทำงาน
ในระหว่างวันทำงาน ด้วยปริมาณที่เยอะอยู่แล้ว บางคนอาจต้องบรรยากาศชวนอึดอัดของออฟฟิศอีกต่างหาก ดังนั้นควรหาเวลาลุกออกจากโต๊ะทำงานหรือพักเบรกจากการทำงานเป็นช่วงสั้นๆ ดูบ้าง เช่น ลุกไปเข้าห้องน้ำ เดินไปหาเครื่องดื่มหรือของหวานทาน หรือคุยเล่นกับเพื่อน เป็นต้น
กำหนดขอบเขตการทำงานที่ชัดเจน
การทำอะไรได้หลายอย่าง หรือเริ่มต้นทำอะไรที่ไม่ถนัด อาจดูเป็นความท้าทายใหม่ๆ หรือได้เป็นฝึกฝนทักษะให้ตัวเองก็จริง แต่ถ้าทำแล้วมันก่อให้เกิดความเครียดมากกว่าเกิดประโยชน์แก่ตัวเอง บางครั้งก็ควรทำงานให้พอดีและตรงกับหน้าที่ของเราเท่านั้น ควรมีการพุดคุยตกลงกับหัวหน้าให้ชัดเจนว่าขอบเขตการทำงานของเรามากน้อยแค่ไหน ไม่ควรทำอะไรที่เกินหน้าที่มากจนเกินไป
ปฏิเสธให้เป็น
การเป็นคนมีน้ำใจหรือชอบช่วยเหลือคนอื่นถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าความช่วยเหลือนั้นกลับมาเล่นงานตัวคุณเอง ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความเครียดได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนที่จะรับปากในการช่วยเหลืองานใคร ควรพิจารณาหน้าที่หรือปริมาณงานของตัวเองให้ถี่ถ้วยเสียก่อน
พักผ่อนให้เพียงพอ
ก่อนจะตื่นไปทำงานในแต่ละวัน ควรมีการพักผ่อนที่เพียงพอ เพราะการนอนน้อยถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดขึ้นได้ แถมยังส่งผลในเรื่องของสมาธิในการทำงานอีกด้วย ซึ่งนั่นก็จะให้การทำงานล่าช้าหรือเสร็จไม่ตรงตามกำหนดเวลา หากใครที่รู้ตัวว่าตัวเองพักผ่อนน้อย ลองจัดตารางเวลาชีวิตตัวเองดูใหม่ เพื่อให้ตื่นไปออฟฟิศได้อย่างสดใส และทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้านอนไม่หลับจริงๆ จนทำให้พักผ่อนน้อย อาจต้องหาเวลาไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญดู เพราะนั่นแปลว่าความเครียดได้สะสม และเริ่มส่งผลต่อร่างกายแล้ว
หากิจกรรมอื่นๆ ทำ
ในระหว่างเวลาทำงาน นอกจากจะหาเวลาเบรกสั้นๆ ในการลุกออกจากโต๊ะทำงานแล้ว อาจลองหากิจกรรมอื่นที่ไม่ต้องลุกออกจากโต๊ะทำงานทำควบคู่ไปด้วย เช่น ลุกจากเก้าอี้แล้วยืดเส้นยืดสายอยู่ที่โต๊ะ เพื่อป้องกันอาการออฟฟิศซินโดรม หรือฟังเพลงในระหว่างทำงาน ก็สามารถช่วยคลายเครียดได้เช่นกัน
นอกจากนี้นอกเวลางาน ยังควรหาเวลาในการทำกิจกรรมคลายเครียดอื่นๆ ด้วย เช่น ออกกำลังกาย ไปทานข้าวกับเพื่อน หรือไปให้ธรรมชาติโอบกอด เป็นต้น
ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟกต์
จริงอยู่ว่าการทำงานให้เพอร์เฟกต์ แบบเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว ถือเป็นสิ่งที่ดีและควรทำ แต่บางครั้งหากเรายึดติดกับความเป็น Perfectionist มากเกินไป แน่นอนว่าบางครั้งอาจได้ความเครียดเป็นของแถมติดกลับมาด้วย ดังนั้นควรอาจลองเปลี่ยนความคิดว่าทุกอย่างไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเสมอไป แค่ทำงานบนพื้นฐานของความตั้งใจ ทำงานให้ออกมามีประสิทธิภาพในแบบที่เต็มความสามารถของเรา ไม่ให้มีข้อผิดพลาด เพียงแค่นี้ก็จะช่วยลดความคาดหวังและความเครียดลงได้เช่นกัน
ปรับสภาพแวดล้อมการทำงานของตัวเอง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องบรรยากาศภายในออฟฟิศก็เป็นสิ่งสำคัญ บรรยากาศต่างๆ ที่กดดันล้วนแล้วแต่เป็นชนวนเหตุแห่งความเครียดแทบทั้งสิ้น ดังนั้นลองจัดโต๊ะทำงานของตัวเองดูใหม่ หารูปหรือคำที่สร้างแรงบันดาลใจมาติดโต๊ะทำงานดู หมั่นทำความสะอาดโต๊ะ ไม่ปล่อยให้รก ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของการกำจัดความเครียดได้
หลีกเลี่ยงการมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน
ปัญหาใหญ่ระดับเอ็กซ์ตรีมของคนทำงานคือเรื่องของคนในออฟฟิศนี่แหละ บางคนบอกว่าแม้งานจะหนักแค่ไหนก็ไม่หวั่น ขอแค่มีหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานที่ดี แต่หากต้องโชคร้ายก็เจอหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่ Toxic ขึ้นมา ความเครียดก็จะตามมาด้วย ซึ่งหากคุณยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนงานใหม่ สิ่งที่ควรทำก็คือการหลีกเลี่ยงที่จะมีปัญหากับมนุษย์ Toxic เหล่านั้น พยายามที่โฟกัสที่หน้าที่ของเราอย่างเดียว คุยกับคนๆ นั้นเฉพาะเวลาที่จำเป็นเท่านั้น หรือหากเจอใครที่จับกลุ่มนินทาคนอื่นอยู่ ก็ไม่ต้องไปร่วมวงสนทนาด้วย อยู่ห่างๆ ไว้เป็นดีที่สุด
อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ
การขอความช่วยเหลือในที่นี้ เราหมายถึงหากคุณต้องเจออุปสรรคในการทำงาน อย่าลังเลที่จะขอคำแนะนำหรือปรึกษากับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน ไม่ได้แปลว่าให้คุณโยนงานให้คนอื่นทำ แต่คือการขอไอเดียจากเขาในการแก้ปัญหาต่างๆ ของคุณ เพราะบางครั้งที่คนเราเครียด อาจคิดอะไรไม่ออก หากได้คำแนะนำที่ดีจากคนอื่นๆ ก็จะช่วยให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ขึ้นได้
ฝึกการรับมือกับความเครียด
หากมีเวลาว่างลองจดรูปแบบหรือสาเหตุที่ทำให้คุณเกิดความเครียด พร้อมทั้งเขียนถึงวิธีแก้ปัญหาลงหรือวิธีจัดการความเครียดแบบล่วงหน้าไปด้วย เผื่อวันใดที่ความเครียดนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง คุณจะได้รับมือกับสิ่งเหล่านั้นได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
หาบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรสอดคล้องกับตัวเอง
เรื่องของวัฒนธรรมองค์กรก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียดในการทำงานได้ ดังนั้นจึงควรหาบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่สอดคล้องกับตัวคุณเอง เรารู้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำ เพราะบางครั้งเราก็ไม่รู้หรอกว่าบริษัทไหนที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่ดีจนกว่าเราจะได้เข้าไปทำงานจริง ดังนั้นจึงอาจต้องอาศัยการถามเพื่อนหรือคนรู้จักเกี่ยวกับบริษัทนั้นๆ หรืออาจลองศึกษาข้อมูลบริษัทผ่านการโปรโมตในแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook หรือ Linkedin แล้วนำมาพิจารณาดูว่าบริษัทนั้นๆ ตอบโจทย์คุณมากน้อยแค่ไหน เพราะหากเจอบริษัทที่ฟิตกับไลฟ์สไตล์การทำงานของคุณ เราเชื่อว่าคุณจะมีความเครียดในการทำงานน้อยลงแน่นอน
10 อาชีพ 'ทักษะดิจิทัล' ระดับสูง ที่ตลาดต้องการ
ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ นอกจากอุตสาหกรรมดิจิทัล ที่ยังคงมีความต้องการคนที่มีทักษะระดับสูง (Advance Skills) แล้ว ดิจิทัล ยังแทรกซึมเข้ากับธุรกิจต่างๆ โดยมีความต้องการทักษะในระดับที่แตกต่างกัน ดังนั้น การพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัล จึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ตอบโจทย์การเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในบริษัทขนาดใหญ่ และ เอสเอ็มอี
ข้อมูลจาก สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย พบว่า หากเทียบทักษะด้านดิจิทัลกับนานาประเทศ ไทยหล่นลงจากอันดับที่ 38 มาอยู่ที่อันดับ 40 จาก 63 ประเทศ โดยมีการตั้งเป้าในปี 2025 ว่าจะขยับมาอยู่ที่อันดับ 25 เรื่องที่ต้องให้ความสำคัญมาก คือ Training and Education นอกจากนี้ เรื่องของภาษาอังกฤษ ไทยอยู่อันดับที่ 97 จาก 113 ประเทศ
เขมนรินทร์ รัตนาอัมพวัลย์ รองประธานและประธานพันธกิจด้านการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) กล่าวในช่วงเสวนา 'พลิกโฉมการพัฒนาคนสู่โลกยุคใหม่' ภายในงานมหกรรม Skill Expo ว่า ประเทศไทยขาดแคลนกำลังคนที่มีทักษะด้านภาษาอังกฤษ และ ดิจิทัล โดยเฉพาะงานในด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ จำเป็นต้องรู้เรื่องของภาษา
ขณะที่ ทักษะด้านดิจิทัลในระดับ Basic Skill , Standard Skill และ Advance Skill เมื่อเทียบกับประชากรไทย อายุ 6 ปีขึ้นไป ในปี 2020 จะเห็นว่า ประชากรไทยที่มีทักษะพื้นฐาน (Basic Skill) มีเพียง 17% เท่านั้น เป้าหมายคือเพิ่มเป็น 52% ระดับ Standard Skill มีทั้งหมด 10% เป้าหมายคือเพิ่มให้เป็น 42% ส่วน Advance Skill มีเพียง 1% และควรจะเพิ่มให้เป็น 6%
อีกทั้ง คนไทยเข้าถึงคอมพิวเตอร์น้อย มีการสำรวจ พบว่า เด็กชายขอบ เมื่อโควิด-19 ที่ผ่านมามีความเหลื่อมล้ำ ประเทศไทยการเข้าถึงดิจิทัล อยู่ที่ 19.3% เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่าง สิงคโปร์ เข้าถึงกว่า 89% มาเลเซีย 77.6% อินโดนีเซีย 18.8% ส่วนเกาหลีใต้ 71.6% และ ญี่ปุ่นเข้าถึง 69.1% ดังนั้น ภาคการศึกษาต้องเข้ามาช่วยขับเคลื่อนในการช่วยให้เด็กๆ มีอุปกรณ์ในการเรียน เพราะช่วงโควิดเห็นได้ชัดว่าเด็กหายไปจากระบบ
อัพสกิล รีสกิล ยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัล
ทั้งนี้ DCT มีความมุ่งหวังให้ยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทยให้แข่งขันได้ ดังนั้น พันธกิจของ DCT มี 5 พันธกิจหลัก คือ
1. การกำหนดมาตรฐานด้านดิจิทัลหรือตัวชี้วัด
2. นโยบายสาธารณะและความร่วมมือภาครัฐ เอกชน ประชาชน
3. การพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านดิจิทัล
4. การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เมื่อกำลังคนดีขึ้นเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น
5. การพัฒนาสังคมด้านดิจิทัล
ยกระดับ Advance Skill กว่า 6 แสนคน
สำหรับ เป้าหมายพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลระดับ Advance Skill มีเป้าหมายทั้งสิ้น 6 แสนคน โดยอัปสกิลจากกลุ่ม Standard Skill จำนวน 350,000 คน และปริญญาตรี 16,530 คน และ อาชีวะ 44,420 คน รวมถึง Digital Nomads และ Global Talents จำนวน 189,000 คน
“การพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัล ทุกคนต้องช่วยกัน เพราะทักษะด้านดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราคงไม่อยากให้ AI มาทำงานแทนเรา AI อาจจะเก่งกว่าเราในอนาคตก็ได้ หากไม่รีบพัฒนาตัวเองอยู่เสมอทั้งในเรื่องเทคนิค แกนลึกและแกนกว้าง Life Long Learning เป็นสิ่งสำคัญ อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง รวมถึงทัศนคติ ความยืดหยุ่น หากมีตรงนี้เชื่อว่าทุกคนจะสามารถก้าวผ่านวิกฤติต่างๆ ที่จะเข้ามาได้” เขมนรินทร์ กล่าว
ทักษะด้านดิจิทัล 4 ระดับ
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน โดย กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ทำการแบ่ง ทักษะด้านดิจิทัล เป็น 4 ระดับ ได้แก่
10 ตำแหน่งงาน ต้องการทักษะ ‘ดิจิทัล’ ระดับสูง
นิธิภัทร ศรีธัญญา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัล กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป้าหมายแรงงานที่ต้องได้รับการพัฒนา ตั้งแต่ปี 2564 – 2570 จำนวน 638,815 คน เฉลี่ยปีละ 113,969 คน โดยจำนวนแรงงานในอุตสาหกรรมดิจิทัล ที่ต้องมีทักษะระดับสูง (Advance Skills) สำรวจจากภาคเอกชนที่ต้องการบุคลากรในอีก 5 ปีข้างหน้า ทั้งสิ้น 10 ตำแหน่งงาน ได้แก่
กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้จัดตั้ง สถาบันพัฒนาบุคลากรดิจิทัลขึ้นมา เพราะเล็งเห็นความสำคัญด้านทักษะดิจิทัลของแรงงาน ทุกวันนี้ทักษะดิจิทัลแทรกซึมทุกอาชีพ พอแทรกซึมทุกอาชีพ การพัฒนาคนในด้านแรงงานให้ตรงจุด ไม่สามารถตัดเสื้อโหล แต่ต้องมาดูว่าความต้องการแต่ละกลุ่ม ต้องการทักษะระดับใด
ทั้งนี้ หลังจากสำรวจความต้องการแล้ว มีการจัดหางบประมาณ ดำเนินการจัดทำหลักสูตรและมาตรฐาน โดยอ้างอิงจากมาตรฐานหน่วยงาน กระจายเป้าหมายให้หน่วยฝึกของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อีกทั้งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการพัฒนาลูกจ้าง ผ่านกลไกพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานด้วย โดยตั้งแต่ปี 2563 – 2566 มีผู้อบรมระยะสั้นทั้งออนไลน์ และออนไซต์ มากกว่า 30,000 คน
“เรามีเครื่องมือในการฝึกอบรมที่สามารถเข้าถึงได้สะดวก DSD Online Training เปิดกว้าง สร้างโอกาส ต่อยอดอย่างยั่งยืน เป็นเว็บไซต์ที่ฝึกอบรม พัฒนาตัวเองทุกที่ทุกเวลา และมีการทดสอบ พร้อมดาวโหลดใบรับรองออกมาได้หากผ่านเกณฑ์ที่วางไว้ ปัจจุบัน เปิดมา 2 ปี มีผู้เข้าเยี่ยมชมกว่า 2 ล้านคน และผู้เข้าฝึกอบรมกว่า 80,000 คน มีผู้ผ่านการฝึกอบรมมากกว่า 30,000 คน โดยหลักสูตรตั้งแต่ หมวดดิจิทัล หมวดภาษา หมวดช่าง หมวดเกี่ยวกับซอฟต์สกิล และหลักสูตรใหม่ Basic Network โดยสามารถเรียนรู้การใช้เน็ตเวิร์กต่างๆ สุดท้าย มีความร่วมมือกับไมโครซอฟต์ประเทศไทย พัฒนาหลักสูตร AI Fluency Skilling สำหรับคนทำงานในการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน” นิธิภัทร กล่าว
พัฒนาคน ตอบโจทย์อุตสหากรรม
ด้าน ดร.จักกนิตต์ คณานุรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการพัฒนากำลังคนดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DEPA) กล่าวว่า ภารกิจหลักของ DEPA พยายามช่วยผลักดันส่งเสริมเศรษฐกิจสังคมดิจิทัล โอกาสของดิจิทัลไม่มีที่สิ้นสุด จุดเริ่มต้นอยู่ที่การพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัล และในส่วนของ DEPA ถือเป็นหนึ่งในภารกิจหลักขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัล
“กว่า 6 ปีที่ผ่านมา Deep Tech ก็เป็นเรื่องที่พยายามผลักดันไม่ว่าจะเป็น AI , IoT , Machine Learning , Cyber Security และ Data Science เวลาที่ผลักดันด้านดิจิทัล มีเรื่องอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่ว่าจะเป็นอีคอมเมิร์ซ ดิจิทัลมาเก็ตติง ดิจิทัลคอนเทนต์ ดิจิทัลอาร์ตทิสต์ เป็นส่วนประกอบต่างๆ ที่จะมารวมพลังกันผลักดันเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล”
ดร.จักกนิตต์ กล่าวต่อไปว่า เวลาคุยกับผู้ประกอบการโดยตรง พบว่า น้องๆ ที่จบมาวุฒิตรงแต่ยังไม่พร้อมที่จะใช้โปรแกรมต่างๆ เป็น Pain Point อย่างหนึ่ง ดังนั้น DEPA พยายามเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษา รวมถึง ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital Provider) ทำหลักสูตรระยะสั้น ให้นักศึกษาที่จบใหม่และอยู่ระหว่างหางานทำ มาเรียนรู้ในเรื่องของ Machine Learning , Cloud , Cyber Security ออกแบบหลักสูตรร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษาและพาร์ตเนอร์ รวมถึงทำระบบจับคู่งาน (Job Matching) ให้ด้วย
นอกจากนี้ ยังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้กับวิทยาลัยอาชีวศึกษา และ วิทยาลัยเทคนิคทั่วประเทศ ตอบโจทย์ในการสร้างคนของเอสเอ็มอี รวมถึง โครงการ 1,500 โรงเรียน สนับสนุนอุปกรณ์การเรียนโค้ดดิ้ง (Coding) และหลักสูตรขึ้นบนแพลตฟอร์ม เทรนด์ครูเพื่อแข่งขันในระดับประเทศ มองว่า ปัจจุบันการสนับสนุนเรื่อง Deep Tech เป็นสิ่งสำคัญ แต่คนกว่า 60% สนใจเรื่องอื่น เช่น ดิจิทัลคอมเมิร์ซ อีคอมเมิร์ซ ดิจิทัลคอนเทนต์ ฯลฯ ดังนั้น จึงสนับสนุนในเรื่องของดิจิทัลคอนเทนต์ ดิจิทัลอาร์ตทิสต์เพื่อเติมเต็มให้กับน้องๆ เหล่านี้ด้วย
“การอัปสกิล รีสกิล เป็นสิ่งสำคัญ หากมองในมุมเรื่องการทำธุรกิจเพื่อส่งเสริมให้เกิด GDP ของประเทศ การเรียนรู้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่มรรคผลจริงๆ คือ ผลประกอบการที่จะได้ ตลาดประเทศไทยใหญ่ไม่พอ ต้องมองว่าเอสเอ็มอีไทย ซอฟต์แวร์ไทยจะไปต่างประเทศได้อย่างไร โดย DEPA ได้ส่งเสริมสตาร์ตอัพ โครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้สตาร์ตอัพไทยไปสู่ตลาดโลก”
ความท้าทายเอสเอ็มอี
สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ซึ่งมีภารกิจหลักในการเป็นกลไกผสานรัฐและเอกชน พัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและแรงงานในเอสเอ็มอีทุกมิติเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยมี 5 ภารกิจหลัก คือ
1. การส่งเสริมการเข้าถึงองค์ความรู้และการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
2. การส่งเสริมช่องทางแหล่งทุนให้แก่เอสเอ็มอี
3. ช่องทางการตลาด เพื่อให้เอสเอ็มอีแข็งแรงมากขึ้น คิดได้ ทำได้ และต้องขายได้
4. การส่งเสริมกลไก เครือข่ายสมาพันธ์เอสเอ็มอีทั่วประเทศ มีผู้ประสานงานลงลึกในระดับอำเภอ
5. เป็นกระบอกเสียงให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อนำเสียงสะท้อนไปถึงภาครัฐในการแก้ปัญหาและหาทางออก
แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวถึง ความท้าทายในการแข่งขันของเอสเอ็มอีว่า วันนี้การพัฒนากำลังคน เราผ่านคลื่นของดิจิทัลมาแล้ว และตอนนี้อยู่ในคลื่นของการสร้างความยั่งยืน ดังนั้น ทำอย่างไร ให้เกิดการยกระดับขีดความสามารถ แต่ละประเทศ มียุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจแตกต่างกัน ไทยมี ไทยแลนด์ 4.0 แต่ถามว่าผู้ประกอบการไทย มีความเข้าใจคำว่า ไทยแลนด์ 4.0 มากน้อยแค่ไหน ขณะเดียวกัน ในเรื่องของเศรษฐกิจ BCG มีการสำรวจผู้ประกอบกว่า พบว่า ผู้ประกอบการรู้จักคำว่า BCG เพียง 10% สิ่งสำคัญ คือ การที่หน่วยงานภาครัฐ เอกชน จับมือร่วมกันทำเรื่องยุทธศาสตร์ต่างๆ ในการสะท้อนความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ปัจจุบัน เอสเอ็มอี ในประเทศไทยมีราว 3.2 ล้านราย คิดเป็น 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งประเทศ ภาคแรงงานที่เอสเอ็มอีจ้างงาน 12 ล้านราย คิดเป็น 72% ของแรงงานของประเทศ นี่คือบทบาทและความสำคัญของเอสเอ็มอีที่มีในประเทศไทย การกระจายตัวของเอสเอ็มอีหากสามารถนำมาจับและเชื่อมโยงสร้างความร่วมมือ พัฒนาผู้ประกอบการ และการจ้างงานจะทำให้กระบวนการดีขึ้น วันนี้เราต้องออกแบบ จะทำอย่างไรให้เอสเอ็มอีที่อยู่ในแต่ละเซกเมนต์ คือ ภาคบริการ ภาคการค้า ภาคการผลิต และธุรกิจการเกษตร สามารถมีทักษะที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและธุรกิจของเขาได้ สิ่งเหล่านี้ต้องทำให้การออกแบบแต่ละฟังก์ชั่นที่ใช้ประโยชน์เหมาะสม
5 มาตรการเร่งด่วน
แสงชัย กล่าวต่อไปว่า วันนี้ GPP (ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัวของประเทศ) อันดับ 1 คือ จ.ระยอง 831,734 บาทต่อปี ต่างจากจังหวัดที่อยู่ท้าย คือ จ.นราธิวาส 55,417 บาทต่อปี ถึง 15 เท่า วันนี้ต้องลดช่องว่างเหล่านี้โดยการเพิ่มผลิตภาพอย่างไรในการกระจายโอกาสและรายได้ โดย 5 มาตรการเร่งด่วน ที่เอสเอ็มอีพยายามผลักดันในหลายเวที คือ
1. มาตรการปลุกเศรษฐกิจฐานราก กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น
2. มาตรการแก้ปัญหาต้นทุน SME และค่าครองชีพประชาชน
3. มาตรการเข้าถึงแหล่งทุน ต้นทุนต่ำ SME และฟื้นฟูหนี้ NPL
4. มาตรการยกระดับขีดความสามารถ SME และภาคแรงงาน
5. มาตรการแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคของ SME
“สิ่งสำคัญ คือ มาตรการที่ 4 สำคัญ ซึ่งจะทำให้เกิดมาตรการที่ 1 เพราะต่อให้มาตรการดีเท่าใด แต่ทักษะผู้ประกอบการยังไม่เพียงพอ ยกตัวอย่าง ดิจิทัลเข้าถึงทุกหมู่บ้านแต่คนใช้ไม่เป็น ดังนั้น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี จะต้องถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า ต้องสร้างคนให้ไปใช้โครงสร้างพื้นฐาน”
ส่งเสริม Creative Economy
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เอสเอ็มอีต้องการให้ภาครัฐให้ความสำคัญ ไม่ใช่แค่เชิงนโยบายเพียงอย่างเดียว เพราะภาคธุรกิจไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมอย่างเดียว แต่เรามีภาคการค้า การบริการ และภาคการเกษตร วันนี้เราต้องการสร้างคน ให้เป็นนักสู้เพื่อไปสู่กับต่างประเทศ ทำให้เกิดการพัฒนาด้านดิจัทัล นวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม
ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ปี 2564 ราว 16.2 ล้านล้านบาท เป็นเอสเอ็มอี 35% หรือราว 5.67 ล้านล้านบาท นี่คือความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยที่มีสัดส่วน GDP เพียง 3% แต่เป็นสัดส่วนผู้ประกอบการ 85% ของทั้งประเทศ ดังนั้น นโยบายและการวางแผนต้องตอบโจทย์ ใหญ่ก็ต้องเอา เอสเอ็มอีก็ต้องดัน ไม่เช่นนั้นประเทศจะเป็นหัวโตตัวลีบ
“ขณะที่ภาคการส่งออก ปี 2565 กว่า 87% เป็นการส่งออกอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ดังนั้น ทุกวันนี้เราต้องส่งเสริม Depp Tech ควบคู่กับการส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Economy) เพราะใกล้ชิดกับเอสเอ็มอี และก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม” แสงชัย กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ 01 ก.ย. 2024
เกี่ยวข้องกัน
‘Meta’ แชร์ 5 เทรนด์ ‘โซเชียล’ ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ยุคใหม่ปี 68
ขณะที่ความชอบและพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โซเชียลมีเดีย ครีเอเตอร์ เพื่อน และครอบครัวกำลังกลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนค้นพบและตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ประเทศไทยเองก็เช่นกัน
ข้อมูลของบริษัทวิจัยตลาดอีมาร์เก็ตเตอร์ เผยว่า เอเชียแปซิฟิกยังคงครองฐานผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียทั่วโลกด้วยจำนวนผู้ใช้รวมกว่า 2.3 พันล้านคน นับว่าเติบโตรวดเร็วยิ่งกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลก และได้ตอกย้ำจุดยืนของภูมิภาคในฐานะฐานผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Gen AI เขย่าโลกธุรกิจ
Meta แชร์ 5 เทรนด์โซเชียลมีเดียสำคัญที่ธุรกิจไทยควรให้ความสำคัญในปี 2568 เพื่อให้ธุรกิจเชื่อมต่อกับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และยังคงความเป็นผู้นำในตลาดอย่างต่อเนื่อง
1. Generative AI : ผู้บริโภคและธุรกิจนำ Generative AI มาใช้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิในการทำงาน รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างเนื้อหา แนวคิด และโซลูชันใหม่ๆ Meta พบว่ามีผู้ใช้งานเครื่องมือสร้างสรรค์โฆษณาด้วย Generative AI อย่างแพร่หลาย โดยผู้โฆษณามากกว่า 1 ล้านรายทั่วโลกใช้เครื่องมือเหล่านี้เป็นประจำเพื่อพัฒนาผลงาน ช่วงเดือนส.ค. 2567 เพียงเดือนเดียวมีชิ้นงานโฆษณามากกว่า 15 ล้านโฆษณาที่ใช้เครื่องมือเอไอของ Meta พบด้วยว่า แคมเปญโฆษณาระดับโลกที่ใช้ฟีเจอร์การสร้างรูปภาพ (Image Generation) ของ Meta มีผู้คลิกดูโฆษณา (Click-through Rate : CTR) โดยเฉลี่ยสูงขึ้น 11% และ Conversion Rate (CVR) หรือสามารถปิดการขายได้สูงขึ้น 7.6% เมื่อเทียบกับแคมเปญที่ไม่ได้ใช้เครื่องมือเหล่านี้
ปิดดีลด้วย ‘ข้อความ’
2. การส่งข้อความเชิงธุรกิจ (Business Messaging) : เทรนด์การสื่อสารกับธุรกิจผ่านข้อความเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุด
Meta พบว่าเทรนด์นี้เกิดขึ้นทั่วโลก โดยผู้คนมากกว่า 1 พันล้านคนพูดคุยกับแบรนด์หรือธุรกิจผ่าน Messenger, Instagram และ WhatsApp ทุกสัปดาห์ ในเอเชียแปซิฟิกผู้บริโภคอย่างน้อย 1 ใน 3 แชทกับธุรกิจสัปดาห์ละครั้ง
ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในผู้นำในเทรนด์ โดย 9 ใน 10 ของผู้บริโภคชาวไทยสื่อสารกับธุรกิจผ่านแอปพลิเคชันแชทระหว่างการซื้อสินค้า และ 75% ของผู้บริโภคพิจารณาว่าการส่งข้อความทางธุรกิจมีผลกระทบอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อ
รายงานเทรนด์โซเชียลล่าสุดจากอีมาร์เก็ตเตอร์เผยว่า ผู้คนมีแนวโน้มที่จะแบ่งปันเนื้อหาบนโซเชียลและคุยกันผ่านการส่งข้อความส่วนตัวมากกว่าการโพสต์แบบสาธารณะ โดยพบว่าการแบ่งปันแบบส่วนตัว (private sharing) บนแพลตฟอร์มเติบโตขึ้น 100% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
กลุ่มคน Gen Z เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงนี้ เนื่องจากพวกเขายังคงหาวิธีเชื่อมต่อกับผู้อื่นในกลุ่มและชุมชนขนาดเล็กๆ
‘ครีเอเตอร์’ โอกาสเติบโตใหม่
3. ครีเอเตอร์ : เศรษฐกิจของครีเอเตอร์ในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ครีเอเตอร์กลายเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ที่สร้างโมเดลธุรกิจที่ขยายตัวได้ผ่านการร่วมงานเชิงกลยุทธ์กับแบรนด์ในประเทศและระดับโลก
งานวิจัยล่าสุดจากบริษัทการธนาคารเพื่อการลงทุน Goldman Sachs คาดการณ์ว่า มูลค่าของเศรษฐกิจครีเอเตอร์ระดับโลกอาจแตะถึง 480 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2570
อย่างไรก็ดี การค้นหาครีเอเตอร์ที่เหมาะกับการเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของแคมเปญ
นอกจากนี้ งานวิจัยอีกชิ้นจาก Meta ยังพบว่า 70% ของคนไทยพบสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ผ่านโซเชียลมีเดียทุกวัน โดย 75% เปิดเผยว่าคำแนะนำสินค้าจากครีเอเตอร์เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการตัดสินใจซื้อ
‘วิดีโอ’ ช่องทางทำเงิน
วิดีโอ : ผู้คนทั่วโลกกำลังบริโภคคอนเทนต์วิดีโอมากขึ้นเรื่อย ๆ โดย Insider Intelligence คาดการณ์ว่า เวลาที่ใช้ในการรับชมโทรทัศน์และคอนเทนต์วิดีโอในปี 2568 จะมีเพิ่มขึ้น 15% ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ส่วนเวลาที่ใช้ในการดูวิดีโอบน Instagram และ Facebook ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากข้อมูลของ Meta เผยว่า 60% ของเวลาที่ใช้บนทั้งสองแพลตฟอร์มถูกใช้ไปกับคอนเทนต์วิดีโอ
อีกหนึ่งแนวโน้มที่น่าจับตามองคือ Livestreaming ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการวิจัยตลาดของบริษัท Decision Lab พบว่า 73% ของผู้คนเคยดูไลฟ์สตรีมเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ
โดย 66% ตัดสินใจซื้อสินค้าที่แสดงในไลฟ์นั้น และ 81% ดูไลฟ์เพื่อจะซื้อสินค้า และ 70% ซื้อสินค้าผ่านฟีเจอร์ชอปปิงในไลฟ์ นอกจากนี้ 79% ของผู้บริโภคในประเทศไทย ดูไลฟ์อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้งและ 70% ของผู้ชมกลับมาซื้อสินค้าเดิมอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
คว้าโอกาส ‘ค้าข้ามแดน’
5. การค้าข้ามพรมแดน (Cross-Border Shopping) : ปัจจุบัน ผู้คนใช้เทคโนโลยีในการซื้อสินค้าจากทั่วโลกมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายยิ่งกว่าเดิม มีการคาดการณ์ว่าการค้าข้ามพรมแดน (Cross-Border Shopping) จะมีมูลค่า 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2571
โดยการค้าข้ามพรมแดนออนไลน์จะช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจมากกว่าการค้าปลีกในประเทศถึง 2 เท่า จากงานวิจัยประจำปีในช่วงเทศกาลในเอเชียแปซิฟิกพบว่า อย่างน้อย 50% ของนักช้อปในประเทศไทยเคยซื้อสินค้าข้ามพรมแดนช่วงลดราคาตามเทศกาลต่างๆ
ที่ผ่านมา การซื้อสินค้าข้ามพรมแดนไม่ได้เฟื่องฟูขึ้นจากราคาสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากความต้องการที่จะได้ครอบครองแบรนด์ที่ไม่มีในประเทศของตน และการเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพสูงกว่า
งานวิจัยล่าสุดของ Meta เผยว่า 71% ของผู้ซื้อสินค้าข้ามพรมแดนเปิดกว้างต่อการชอปปิงจากแบรนด์ใหม่ๆ และ 61% ต้องการมีตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น
ดังนั้น การลงทุนของ Meta ในด้าน AI จึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างการเข้าถึงที่ไร้พรมแดน และเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการจับคู่สินค้าเข้ากับผู้คนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและทรัพยากรที่กว้างขึ้น รวมถึงการสื่อสารกับลูกค้าได้หลากหลายภาษามากยิ่งขึ้น
ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ