ค้นหา

ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับร่างพรบ.การศึกษาแห่งชาติ

อรรถพล” ชงทบทวนร่างพ.ร.บ.การศึกษาชาติฯให้รมว.ศธ.พิจารณา 

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. นายอรรถพล สังขวาสี เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักพัฒนากฎหมายการศึกษา กลุ่มพัฒนาและวินิจฉัยกฎหมายของ สกศ. ได้รายงานความคืบหน้าการทบทวนข้อเสนอแนะบางประเด็นเพิ่มเติมในการจัดทำร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความรอบคอบเหมาะสม และมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยประเด็นที่มีการทบทวนเพิ่มเติม ได้แก่ ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการพัฒนาสมรรถนะคนในทุกช่วงวัย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเป้าหมาย บทบาท และหลักสูตรการจัดการศึกษา กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการส่งเสริมความร่วมมือในการจัด การศึกษาในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีมาตรฐานที่เท่าเทียมกัน 

เลขาธิการ สกศ. กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ สกศ. ได้มีการจัดประชุมเชิงปฎิบัติการเรื่องดังกล่าว โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละประเด็นมาร่วมวิเคราะห์ในประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาทบทวนประเด็นความเห็น และข้อเสนอแนะต่างๆของการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวแล้ว โดยจะให้มีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำให้กฎหมายการศึกษาฉบับนี้มีความสมบูรณ์ต่อไปตามข้อสั่งการของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ที่มอบให้สภาการศึกษาทำหน้าที่ประสานทบบวนการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ขณะเดียวกันที่ประชุมยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดโครงสร้าง ภารกิจ กลไกการบริหารงานการกำหนดตำแหน่งและกรอบอัตรากำลังของกระทรวงศึกษาธิการในภาพรวม ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ควรเน้นหลักการบูรณาการการทำงาน การใช้ทรัพยากรร่วมกัน และการลดความซ้ำซ้อนของภารกิจนั้น ความเห็นเบื้องต้นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เห็นว่า หลักการกระจายอำนาจทางการบริหารจัดการศึกษาไปสู่ระดับพื้นที่ ยังคงเป็นหลักการสำคัญที่ควรกำหนดไว้ในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. … เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งระบบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้ในส่วนรายละเอียดสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดโครงสร้าง ภารกิจกลไกการบริหารงาน การกำหนดตำแหน่งแลกรอบอัตรากำลังของกระทรวงศึกษาธิการในภาพรวม เห็นควรจะกำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะต่อไป อย่างไรก็ตาม ตนจะนำข้อเสนอทบทวนประเด็นต่างๆ เหล่านี้เสนอให้นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย และรมว.ศึกษาธิการ พิจารณาต่อไป 

ที่มา ; เดลินิวส์ 

เกี่ยวข้องกัน

โสภณ” เผยยกร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับ กรรมาธิการศึกษา สำเร็จ เชื่อเป็น “ฉบับปฏิวัติการศึกษา” 

เมื่อวันที่ 19 กันยายน นายโสภณ ซารัมย์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวเกี่ยวกับการยกร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา 

นายโสภณ กล่าวว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับนี้คือ “พ.ร.บ.ฉบับปฏิวัติการศึกษา” ซึ่งจะเป็นกฎหมายสำคัญในการกำหนดทิศทางการจัดการศึกษาในยุคการเปลี่ยนแปลงของโลก ให้ “ทั่วถึง เท่าเทียม ทันยุค” ซึ่งปัจจุบันมนุษย์ได้รับผลกระทบ

จากสิ่งที่เกิดขึ้นมากมาย และกว้างขวาง อันส่งผลให้เกิดการลดลงของประชากร ความเป็นอยู่ของคนในสังคมที่ยากลำบากขึ้น ปัญหาต่างๆ ในสังคมที่มีมากมาย ล้วนเกิดจากอิทธิพลทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และวัฒนธรรมทั้งสิ้น 

การศึกษานั้นจึงเป็นหลักประกันที่สำคัญ ที่จะสร้างองค์ความรู้ ความสามารถ และภูมิคุ้มกันที่ดี เพื่อสร้างฐานะทางเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ที่ดีของคนในชาติ จากการที่คณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ได้ลงพื้นที่ทุกภาคของประเทศ เพื่อเก็บข้อมูลสภาพจริงเชิงลึก และรับฟังข้อคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างครบถ้วน และได้นำข้อมูลเหล่านั้น มาวิเคราะห์ ในหลายๆ ที่อย่างครอบคลุมทุกประเด็น ใช้เวลาทำงานอย่างต่อเนื่อง ทุ่มเท เสียสละ ร่วม 1 ปี เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของคนในสังคมอย่างแท้จริง จึงมั่นใจว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ สามารถตอบโจทย์และแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศได้อย่างตรงจุด และตรงประเด็น ปัจจุบันจำนวนสถานศึกษาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของเรา เป็นสถานศึกษาขนาดเล็กกว่า 14,000 แห่ง และพบว่ามีปัญหาการจัดการศึกษามากมาย ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมด้านบุคลากร สื่อวัสดุอุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ไม่เพียงพอต่อการเรียนรู้ของเด็ก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร ไม่มีความสุขในการเรียน จึงออกจากระบบการศึกษา มากถึง 1.02 ล้านคน” นายโสภณ กล่าว 

นายโสภณ กล่าวต่อว่า ใน พ.ร.บ.นี้ มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาหลายมิติ ไม่ว่าจะกำหนดให้มีการใช้ทรัพยากรด้านครู สื่อการเรียน ทรัพยากรอื่นๆ ร่วมกันในรูปแบบของกลุ่มโรงเรียน เพื่อสร้างความพร้อมในการจัด การศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาที่พบได้อย่างเหมาะสม พ.ร.บ.นี้ ยังให้ความสำคัญต่อการลดภาระของผู้ปกครอง และผู้เรียน โดยจัดให้มีระบบธนาคารหน่วยกิตแห่งชาติขึ้น เพื่อผู้เรียนสามารถนำผลการเรียนมาสะสมเทียบโอน และใช้ประโยชน์ในการเพิ่มคุณวุฒิการทำงานและการศึกษาต่อ โดยจะเพิ่มบทบาทหน้าที่ให้หน่วยงานที่มีอยู่แล้ว ให้ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เป็นหน่วยงานกลาง ในการดำเนินการดังกล่าว เป็นต้น 

สำหรับ การจัดการการศึกษาระดับปฐมวัย ต้องให้ความสำคัญ กับการศึกษาของเด็กปฐมวัย ให้ได้รับการ พัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพ ปลูกฝังภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้ใฝ่ดี เพราะเด็กวัยนี้เป็นวัยที่สามารถกำหนดคุณสมบัติของคนเราเกือบจะทั้งหมด การให้การศึกษาในวัยนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

นายโสภณ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันปัญหาเศรษฐกิจครัวเรือน ทำให้เด็กส่วนใหญ่ ในท้องถิ่นไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่ต้องดิ้นรนเพื่อปากท้อง ออกจากบ้านเพื่อหางานทำ จึงฝากบุตรหลานไว้กับ ปู่ย่า ตา ยาย ความอบอุ่นที่ได้รับก็ลดน้อยลง ความผูกพันกับพ่อแม่แทบจะไม่มีเลย ดังนั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงต้องเป็นพ่อแม่ คนที่ 2 ของเด็ก ปลูกฝัง สร้างความรัก ความอบอุ่นได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้แล้ว พ.ร.บ.นี้ยังให้ความสำคัญกับระบบการศึกษา ได้ปรับเปลี่ยนเป็น 2 ระบบ ได้แก่ การศึกษาในระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อสร้างความเสมอภาคทาง ความรู้สึกและให้ความสำคัญของระบบทั้งสองอย่าเท่าเทียมกัน และเพื่อสนองตอบต่อความถนัด ความสามารถของผู้เรียน ได้เรียนรู้ในรูปแบบที่ถนัด และหลากหลาย ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น ยังระบุให้เป็นการจัดการศึกษา ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา – อาชีวศึกษา (วุฒิ ปวช.) เพื่อเปิดโอกาสในการเรียนฟรี สำหรับผู้ที่ถนัดสายสามัญ ก็จะถูกพัฒนาให้เป็นมันสมองของชาติ และผู้ที่ถนัดทักษะอาชีพ ก็จะเป็นกลไกสำคัญของตลาดแรงงานที่มีคุณภาพ และสร้างรายได้ ยกฐานะทางเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติ และยังมีการปฏิวัติอีกหลายๆเรื่อง อาทิ เช่น ปรับปรุงการวัดผลประเมินผล การประเมินคุณภาพภายนอก ต้องมี ความน่าเชื่อถือ และไม่เป็นภาระของครูเหมือนในอดีตที่ผ่านมา พ.ร.บ.นี้จึงไม่บัญญัติ หน่วยงาน สมศ.ให้ทำภารกิจดังกล่าว 

ในด้านโครงสร้างการบริหาร ก็จะต้องปรับเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการทำงานของส่วนราชการ ซึ่งจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพ การทำงานให้มากยิ่งขึ้น ในลักษณะ “จิ๋ว แต่ แจ๋ว” และเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐที่ไม่จำเป็น สำหรับการเปลี่ยนแปลงด้านอื่นๆ ยังมีอีกหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแล้วแต่ปรับไปในทางที่ดี มีความชัดเจน มีประสิทธิภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ ดังคำกล่าวที่ว่า “ทั่วถึง เท่าเทียม ทันยุค” หลังจากนี้ จะได้ส่งนำร่าง พ.รบ.ดังกล่าว ส่งให้พรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อให้เสนอข้อเสนอแนะมายังคณะ กมธ. ภายใน 15 วัน และนำมาปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น จากนั้นพร้อมนำเสนอสภาผู้แทนราษฎร ให้ทันภายในสมัยการประชุมนี้ต่อไป” นายโสภณ กล่าว 

โสภณ” เผยยกร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับ กรรมาธิการศึกษา สำเร็จ เชื่อเป็น “ฉบับปฏิวัติการศึกษา” 

ที่มา ; มติชนออนวันที่ 19 กันยายน 2567