ค้นหา

รมต.ศธ. ดัน PPP จับมือเอกชนยกระดับการศึกษาไทย

 พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธานกล่าวในการประชุมสัมนา เรื่อง การศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ว่า ที่ผ่านมาการพัฒนาเครือข่ายการทำงานร่วมกับภาคเอกชนและสถานประกอบการในรูปแบบ PPP (Public Private Partnership) เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ รับฟัง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น รวมทั้งรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนในสังคมโดยเฉพาะผู้ประกอบการจากภาคเอกชนเกี่ยวกับการดำเนินงานเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทยถือว่าเริ่มต้นได้ดีแต่อยากจะให้มีการขยายให้ทั่วถึงทุกโรงเรียนในประเทศ วันนี้จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่ทาง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และภาคเอกชนอื่น ๆร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้จัดการสัมมนาในวันนี้ขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานะด้านการศึกษาของไทย 

นโยบายหลักในการทำงานของศธ.คือ เรียนดีมีความสุข ซึ่งเกิดจากสมมติฐานที่ว่าการจะทำอะไรจะต้องมีความสุขก่อน จึงเล็งเห็นแนวทางในการพัฒนาการศึกษาไทยผ่านความสุข ทำอย่างไรให้เด็กอยากมาโรงเรียนและทำอย่างไรให้ครูอยากมาสอน ซึ่งหากเกิดความสุขทั้ง2อย่างก็จะเกิดขึ้นตาม โดยการจะทำให้เกิดความสุขได้ก็ต้องเกิดจากการลดภาระที่มีอยู่ ซึ่งในปีที่ผ่านมาผมพอใจเป็นอย่างมากที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นจริ ทั้งนี้ศธ.ยังมีนโยบายอื่นๆที่ได้ขับเคลื่อนกันอยู่ตลอดไม่ว่าจะเป็น เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา หรือ Anywhere Anytime สุขาดีมีความสุขที่ทุกโรงเรียนตอบรับนโยบายและทำให้เด็กมีความสุขในการไปเรียนมากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันนี้ก็ดำเนินการไปได้ถึง 80-90 เปอร์เซ็นต์ของโรงเรียนในสังกัดศธ.ทั่วประเทศง”พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าว 

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวต่อว่า อีกนโยบายที่สำคัญคือ จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน ที่พยายามจะสร้างโรงเรียนเครือข่ายในรูปแบบโรงเรียนพี่โรงเรียนน้องที่จะคอยแบ่งปันทรัพยากรความรู้ให้กันและกันเป็นซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบการศึกษาของไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งเมื่อเกิดเครือข่ายขึ้นจนสร้างโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนคุณภาพได้แล้วนั้นก็สามารถแบ่งปันความรู้ไปยังโรงเรียนอื่นๆในพื้นที่เพื่อสร้างมาตรฐานได้อีกด้วยและยังสามารถเชื่อมโยงไปยังนโยบาย Anywhere Anytime ได้เช่นกันในการนำครูที่มีความรู้ความสามารถมาสอนผ่านระบบออนไลน์เพื่อแบ่งปันความรู้ไปยังโรงเรียนและเด็กนักเรียนที่ต้องการ 

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่านจะเห็นถึงความตั้งใจของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาและยกระดับการศึกษาของประเทศไทย ทั้งนี้ผมขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า การดำเนินการพัฒนาการศึกษาของประเทศให้เจริญก้าวหน้าและมีความสามารถในการแข่งขันทัดเทียมกับประเทศอื่นในเวทีโลกนั้น กระทรวงศึกษาธิการไม่สามารถดำเนินการได้เพียงลำพัง จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมออกแบบระบบการจัดการศึกษาที่ตอบโจทย์บริบทที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนที่นับเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ”พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าว 

ด้านนายประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสกศ. กล่าวว่า เนื่องด้วยสกศ.ในฐานะหนึ่งในหน่วยงานหลักของศธ. และ มีบทบาทสำคัญในการจัดทำนโยบายและแผนการศึกษาของชาติ ซึ่งการจัดทำนโยบายและแผนการศึกษาของชาติให้มีความน่าเชื่อถือ ตอบสนองต่อการพัฒนาด้านการจัดการศึกษาสามารถแก้ไขปัญหาการศึกษาที่เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงนั้น จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน แม่นยำ และทันสมัย ทันต่อสถานการณ์ รวมถึงการรองรับความเปลี่ยนแปลงของโลกตามสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน ที่ส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษา 

อีกทั้งการจัดการศึกษาใน ปัจจุบันต้องให้ความสำคัญกับบริบทแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และต้องสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ทำให้การศึกษาเปรียบเทียบสมรรถนะการศึกษาของประเทศไทยกับนานาชาติเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยการเปรียบเทียบสมรรถนะการศึกษาต้องใช้ดัชนีชี้วัดที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ จึงจะทำให้สามารถสะท้อนให้เห็นสถานะที่แท้จริงของการศึกษาในระดับนานาชาติ”นายประวิต กล่าว 

นายประวิต กล่าวต่อว่า ทั้งนี้สกศ.วิเคราะห์แล้วพบว่า ดัชนีของสถาบันเพื่อพัฒนาการจัดการนานาชาติ (International Institute for Management Development:IMD) เป็นดัชนีความสามารถทางการแข่งขันที่ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และปรากฏเป็นตัวชี้วัดในยุทธศาสตร์ และแผนของประเทศไทยจำนวนมาก จึงนำมาใช้เป็นกรอบหลักในการวิเคราะห์ โดยเน้นการวิเคราะห์ตัวชี้วัดด้านการศึกษา และได้ดำเนินการวิเคราะห์เปรียบเทียบสมรรถนะความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเป็นประจำต่อเนื่องทุกปี เพื่อเป็นข้อมูลสะท้อนการจัดการศึกษาที่ให้สนองตอบต่อความต้องการของประเทศ และยกระดับสมรรถนะด้านการศึกษาของประเทศให้สูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องและเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 – 2569 ในประเด็นเรื่องการศึกษาเพื่อเป็นเลิศ ต่อยอดการพัฒนาคุณภาพการศึกษาทุกระดับให้ทันสมัยได้มาตรฐานสากล 

นายประวิต กล่าวต่อว่า ด้วยความสำคัญดังกล่าว สำนักงานฯ จึงเห็นควรให้มีการการประชุมสัมมนาเรื่องการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ (Executive Forum for Fostering Excellence in Education)เพื่อสร้างความรู้ และความเข้าใจให้แก่ภาคเอกชนเกี่ยวกับนโยบาย ความก้าวหน้า และ ตัวอย่างความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับการจัดการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของภาคเอกชน และรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกมิติ เพื่อรับฟัง และแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับมุมมองและความต้องการของภาคเอกชน และสถานประกอบการในการจัดการศึกษาให้สามารถพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และผลิตบัณฑิตที่มีความพร้อมเข้าสู่โลกของการทำงานอย่างเต็มสมรรถนะ 

อีกเรื่องที่สำคัญคือการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาการจัดการศึกษาในรูปแบบ PPP (Public Private Partnership) ให้ภาคเอกชนและสถานประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจวางแผนทางการศึกษาและเพื่อจัดทำ ข้อเสนอแนะในการพัฒนาการจัดการศึกษาให้ตอบสนองต่อความต้องการของภาคเอกชนและรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกมิติ ทั้งนี้ ข้อมูลและข้อเสนอแนะที่ได้จะนำมาประกอบการจัดทำแนวนโยบายการจัดการศึกษาของประเทศไทยให้เหมาะสม มีคุณภาพและประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป” นายประวิต กล่าว 

ที่มา ; มติชนออนไลน์