ค้นหา

สิ้นสุดยุคเจน Alpha เข้า Gen BETA (2025 - 2039)

หนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับการเข้าสู่ศักราชใหม่ 2025 คือ การเปลี่ยนผ่านของเจเนอเรชั่น ส่งท้าย “เจนอัลฟ่า” ต้อนรับน้องใหม่ “เจนเบต้า”

สำหรับเจนอัลฟ่าซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สุดซึ่งเกิดระหว่างปี ค.ศ. 2010 - 2024 (พ.ศ. 2553 - 2567) กลายมาเป็นกลุ่มประชากรที่มีอิทธิพลและพร้อมที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

ผู้เชี่ยวชาญให้คำอธิบายว่าพวกเขาเป็น "กลุ่มมิลเลนเนียลรุ่นมินิ" พวกเขาคือคนรุ่นที่เกิดมากับเทคโนโลยีและได้พบเห็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์มากมาย ตั้งแต่การระบาดของโควิดไปจนถึงการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้

และตอนนี้ถือได้ว่า สิ้นสุดเจเนอเรชั่นอัลฟ่าแล้ว โดยทารกคนสุดท้ายของรุ่นนี้ เกิดในวันที่ 31 ธันวาคม 2024 และต้อนรับการมาถึงของเจนเบต้าผู้ลืมตาดูโลก 1 มกราคม 2025

เจน “เบต้า” (Beta) ซึ่งจะเกิดระหว่างปี 2025 - 2039 ส่วนใหญ่เป็นลูกของคนเจน Z และ Millenials หรือเรียกรวมๆ ว่า เจนเซนเนียล

เบต้า คือ การตั้งชื่อที่สอดคล้องกับลำดับอักษรกรีก หลังจากเจนอัลฟา (Alpha a) มาถึง (Beta 

ข้อมูลจาก e-book "เจาะเทรนด์โลก 2025" โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) อธิบายว่า ขณะที่คนเจน X โตมาก็มีไฟฟ้าใช้แล้ว คนเจน Z เกิดมาก็มีอินเทอร์เน็ตรออยู่ เจน Beta ก็เติบโตมาในโลกของปัญญาประดิษฐ์ โดยในปี 2026 พบว่า 90% ของเนื้อหาออนไลน์สามารถสร้างขึ้นได้โดย AI

 

โลกในปี 2050 ซึ่งเจน Beta รุ่นแรกก้าวสู่วัย 25 ปี คาดว่า เกินครึ่งจะอยู่อาศัยในเขตเมือง โดยเมืองในโลกอนาคต จะเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยกความแตกต่างทางภูมิหลังหรือข้อจำกัดทางร่างกายของผู้อย่อาศัย 

เจน Beta จะเติบโตในสังคมที่ยอมรับ "ความแตกต่าง" ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งจากความพยายามของเจนชีและมิลเลเนียลในการทำลายอคติเก่า ๆ และส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการยอมรับ ทำให้เจนเบต้าเติบโตมาในสังคมที่ความหลากหลายทางเชื่อชาติ เพศวิถีการดำเนินชีวิต ความแตกต่างจะไม่เพียงเป็นที่ยอมรับเท่านั้น แต่ยังได้รับการยกย่องอีกด้วย

ทั้งนี้ เบต้า จะเป็นเจเนอเรชันที่มีความชาญฉลาดทางดิจิทัล เติบโตขึ้นมาโดยตระหนักถึงภัยคุกคามที่เกิดจากการเข้าถึงโลกออนไลน์ เนื่องจากผู้ปกครองที่เป็นเจนเซนเนียลนั้นเข้าใจถึงความเสี่ยงของดิจิทัลฟุตพรินต์เป็นอย่างดี พ่อแม่จึงปกป้องลูกเจนเบต้าอย่างเต็มที่ เมื่อการรับรู้นี้เป็นที่เข้าใจในวงกว้างมากขึ้น แพลตฟอร์มต่าง ๆ ก็จะยิ่งมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ 

ที่มา ; blockdit  

เกี่ยวข้องกัน

อาชีพในฝันของเจนอัลฟ่า บอกแนวโน้มอะไรในอนาคต?

เด็กวัยต่ำกว่า 10 ขวบ หรือที่เรียกว่าเจนอัลฟ่า (Gen Alpha) ไม่ได้แค่ใฝ่ฝันในอาชีพ “แพทย์” “ครู” หรืออาชีพแบบเดิมๆ อีกต่อไป เพราะผลสำรวจอาชีพที่อยู่ในใจของน้องๆ ในปีที่ผ่านมา ปรากฎว่า Youtuber แหวกโผขึ้นมาเป็นอาชีพยอดนิยมด้วย ด้วยบริบทของโลกที่เปลี่ยนไปอย่างพลิกฝ่ามือในปีที่ผ่านมา จากนโยบายการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส ทำให้กระแสการพึ่งพาเทคโนโลยีหนักหน่วงกว่าเดิม

ผลกระทบนั้นตกอยู่เก็บเด็กในวัยเจนอัลฟ่านี้ด้วย เพราะต้องโยกย้ายการเรียนเข้าสู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบทั้งหมด

จากเดิมที่เด็กในวัยนี้ แสวงหาความบันเทิงจากโลกออนไลน์เป็นหลักอยู่แล้ว เช่น จากผลสำรวจของ Adecco ประเทศไทยก่อนโควิด ที่ระบุว่า 93% ชอบดูคอนเทนต์จาก Youtube และ 53% หาความรู้จากอินเตอร์เน็ต เมื่อมีความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยีเเพิ่มขึ้น จึงเป็นตัวกระตุ้นให้พวกเขาคุ้นเคยกับโลกดิจิทัลไปอีกแบบก้าวกระโดด

ดังนั้น สิ่งที่เราคาดว่าจะได้เห็นเมื่อเจนอัลฟ่าเข้าสู่วัยทำงาน คือการเติบโตของสายอาชีพด้านเทคโนโลยี การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือโรบอติกส์ มากขึ้น เพราะพวกเขามีความได้เปรียบในการใช้สิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก มีทักษะและความสามารถในการเรียนรู้ ควบคุมการใช้งาน และปรับตัวได้สูงกว่าวัยอื่นๆ

สังคมการทำงานในยุคของคนเจนอัลฟ่า จะขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วฉับไวกว่าเดิม พวกเขาจะเป็นรุ่นที่กระตุ้นให้คนในวัยสูงกว่าอย่าง มิลเลนเนียลส์ และ เจนเนอเรชั่น Z ตื่นตัวในการทำงานมากกว่าเดิม เพราะกลุ่มคนรุ่นใหม่มาแรงเหล่านี้ คุ้นเคยกับการติดต่อสื่อสารแบบ “ทุกที่ ทุกเวลา” ผ่านข้อความและเสียง จนเป็นเรื่องปกติของชีวิต จึงข้ามขีดจำกัดในการต้องมารอพบปะแบบตัวต่อตัว เพื่อขับเคลื่อนการทำงานสักเรื่อง

การทำงานในอนาตเมื่อเจน อัลฟ่า ครองตลาด เส้นแบ่งระหว่าง การทำงาน และ การใช้ชีวิต จะกลับมาพร่าเลือนใหม่ หลังจากที่คนรุ่นก่อนหน้าพยายามแบ่ง work-life balance ไว้อย่างเป็นสัดส่วน เนื่องจากคนในรุ่นเจนอัลฟ่า จะไม่มีวันวางมือจากการเชื่อมต่อ เพราะให้คุณค่าต่อการทำงาน โดยเฉพาะงานที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสร้างสังคมที่ดีกว่า จึงพร้อมทุ่มเท และก็อยากจะให้ทีมงานทุกคนกระตือรือร้นในเบอร์สูงสุดเช่นเดียวกับตน

แน่นอนว่า ความเคร่งเครียดนำการทำงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัวแบบ 7 วันต่อสัปดาห์ ย่อมต้องแลกมากับความตึงเครียดของสุขภาพจิต และอิดโรย แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้พวกเขาผ่อนเครื่องการทำงาน เพราะคนในวัยนี้จะมองหานวัตกรรมต่างๆ มาช่วยปรับปรุงสร้างสภาวะความเป็นอยู่ที่ดี เพราะเขาเชื่อมั่นสูงในนวัตกรรมว่าจะทำให้คนมีชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ และคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะเกษียณตัวเองช้าลง เพราะยังมีไฟในการทำงานที่เหลือล้นตลอดเวลา

คนในเจนอัลฟ่า ยังมีแนวโน้มจะเป็นคนที่ใฝ่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learner) เพื่อให้ตัวเองทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และเนื่องจากการเติบโตมาในยุคที่โลกต้องเผชิญวิกฤตหนักทั้งไวรัสโควิด-19 ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศและระดับครัวเรือน หรือบางคนก็เกิดมาไม่นานหลังจากครอบครัวเพิ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินสหรัฐ “Hamburger Crisis” เมื่อราวสิบกว่าปีที่ผ่านมา เด็กในวัยนี้จึงซึมซับเอาความทุกข์ยากเหล่านี้ไว้ในใจ และเชื่อมั่นในพลัง “การเปลี่ยนแปลง” เพื่อสิ่งที่ดีกว่าเสมอ ดังนั้น พวกเขาจึงมีแนวโน้มเลือกทำงานกับบริษัทที่ขับเคลื่อนในแนวทางเดียวกัน และมุ่งใช้นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีมาสร้างสิ่งใหม่ให้กับโลก

โลกการทำงานที่คาดว่าจะเห็นอีกอย่างคือ จะเต็มไปด้วยบุคลากรที่มีความรู้อัดแน่น มีความชาญฉลาดเกินกว่าวัยอื่นๆ และยอมรับในความหลากหลายด้านเชื้อชาติ ภาษา เพศ มากกว่าเดิม เพราะพวกเขาเติบโตมาในยุคที่เทคโนโลยีเปิดพรมแดนไปสู่โลกใหม่ๆ ทัศนคติจึงเปิดกว้าง เช่นเดียวกับมุมมองความคิดและความรู้ที่ไม่จมปลักในที่เดิม

ที่มา ; blockdit

เกี่ยวข้องกัน

รู้จัก "เจน เบตา" ไม่ใช่แค่คนรุ่นใหม่ แต่คือความหวังโลกศตวรรษหน้า 

รู้หรือไม่ ? เด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568 เป็นต้นไป จะเป็นตัวแทนของ "เจเนอเรชันเบตา" (Generation Beta) กลุ่มประชากรรุ่นใหม่ที่เติบโตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งเทคโนโลยี วิถีชีวิต การปรับตัวต่อปัญหาระดับโลก 

"เบตา" เด็กข้ามศตวรรษ

เจเนอเรชันเบตาไม่ได้เป็นเพียงแค่คำเรียกที่ดูเรียบง่ายตามลำดับตัวอักษรกรีกที่ต่อจาก "เจเนอเรชันอัลฟา" เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้แบบไร้ขีดจำกัด ตามการคาดการณ์ของ McCrindle บริษัทวิจัยด้านสังคมศาสตร์ในออสเตรเลีย ให้คำจำกัดความว่า 

พวกเขาจะเกิดมาในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง 

เจเนอเรชันเบตาจะประกอบด้วยเด็กที่เกิดระหว่างปี 2568-2582 และภายในปี 2578 พวกเขาจะมีจำนวนประชากรคิดเป็นร้อยละ 16 ของประชากรโลก ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ทารกที่เกิดในปี 2568 จะมีโอกาสมีอายุถึง 76 ปีในปี 2644 หรือปี ค.ศ.2101 นั่นหมายความว่าเด็กกลุ่มนี้จะได้ใช้ชีวิตใน ศตวรรษที่ 22 ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในเจเนอเรชันปัจจุบันอาจไปไม่ถึง 

AI คือโลกของเบตา

หากเจเนอเรชันอัลฟาเติบโตในยุคที่เทคโนโลยีอย่างสมาร์ตโฟนและ AI เพิ่งเริ่มเข้ามามีบทบาท เด็กเจเนอเรชันเบตาจะได้สัมผัสกับโลกที่ AI และระบบอัตโนมัติ (Automation) ผสานเข้ากับชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ ตั้งแต่โรงเรียนที่มีครู AI ที่สามารถปรับเนื้อหาและวิธีการสอนให้เหมาะสมกับความต้องการของเด็กแต่ละคน ไปจนถึงระบบสุขภาพที่สามารถวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษาได้แบบเรียลไทม์

โลกที่พวกเขาเติบโตมาจะไม่ได้แยก "ออนไลน์" และ "ออฟไลน์" ออกจากกันอีกต่อไป แต่จะเป็นโลกที่ทั้ง 2 ส่วนนี้เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ การเรียนรู้ การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน จะถูกรวมไว้ในระบบดิจิทัลที่อำนวยความสะดวกทุกด้าน 

แต่ "เบตาเบบี้" ไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเท่านั้น พวกเขายังต้องเผชิญกับปัญหาระดับโลกที่ซับซ้อน ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเพิ่มขึ้นของประชากร และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงความท้าทายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม เพราะพวกเขาเป็นผลผลิตจากพ่อแม่ที่เกิดในยุคเจน Y และเจน Z 

·       Greatest Generation (เกิดก่อน พ.ศ.2468) ผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 ลักษณะเด่นมุ่งมั่นทำงานหนัก

·       Silent Generation (พ.ศ.2468-2488) เงียบขรึม เน้นครอบครัว

·       Baby Boomers (พ.ศ.2489-2507) เป็นประชากรที่มีจำนวนมากขณะนี้ 

·       Generation X (พ.ศ.2508-2522) เป็นอิสระ ชอบความท้าทาย

·       Genaration Y หรือ Millennials (พ.ศ.2523-2539) เชื่อมต่อกับเทคโนโลยี ชอบทำงานเป็นทีม

·       Generation Z (พ.ศ.2540-2552) เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม

·       Generation Alpha (พ.ศ.2553-2567) เชี่ยวชาญเทคโนโลยี เรียนรู้ไว เป็นตัวของตัวเองสูง

 

ความท้าทายพ่อแม่เจน Y-Z ต้องเลี้ยงดู "เบตา"

จากการสำรวจของ Pew Research Center พบว่าร้อยละ 71 ของมิลเลนเนียลหรือเจเนอเรชัน Y และร้อยละ 67 ของเจเนอเรชัน Z เห็นว่าการจัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ต้องทำเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืน 

พ่อแม่ของเจเนอเรชันเบตา จะเป็นกลุ่มที่ระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีของลูก ๆ โดยสำรวจพบว่าร้อยละ 36 ของพ่อแม่เจน Z และร้อยละ 30 ของพ่อแม่เจน Y สนับสนุน "การจำกัดเวลาในการใช้หน้าจอของเด็ก" เพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบ เช่น การเสพติดหน้าจอ การลดทอนความสัมพันธ์ในครอบครัว และปัญหาสุขภาพจิต 

เหล่าพ่อแม่จะพยายามปลูกฝังให้ เด็กเจนเบตา เติบโตในครอบครัวที่เน้นการเรียนรู้แบบองค์รวม ใช้เวลากับธรรมชาติ กิจกรรมสร้างสรรค์ และการส่งเสริมทักษะทางสังคม 

แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย แต่เจเนอเรชันเบตาจะเติบโตมาแบบมีศักยภาพในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าด้วยความคิดสร้างสรรค์และการปรับตัว พวกเขาจะเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ และสร้างแนวทางแก้ปัญหาที่คนในยุคปัจจุบันอาจยังนึกไม่ถึง 

ผู้ใหญ่ต้อง ปรับตัว-เปลี่ยนแปลง-เปิดใจ

ในการเลี้ยงดูและสนับสนุนเด็กเจเนอเรชันเบตา ผู้ใหญ่ในยุคปัจจุบันจำเป็นต้องปรับตัวและเปลี่ยนวิธีคิดอย่างมาก โดยเฉพาะในโลกที่เทคโนโลยีจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาอย่างสมบูรณ์ ผู้ใหญ่ควรให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีกับการพัฒนาทักษะชีวิตในโลกจริง เช่น การจำกัดเวลาหน้าจอเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพจิต และส่งเสริมกิจกรรมที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือการเรียนรู้นอกระบบดิจิทัล การสอนให้เด็กเข้าใจถึงความปลอดภัยในโลกออนไลน์ การจัดการข้อมูลส่วนตัว และการใช้งานเทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบ จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้พวกเขาเติบโตอย่างมั่นคงและมีศักยภาพสูงสุด

นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ควรปรับทัศนคติในการเลี้ยงดูเด็กโดยมองว่าเด็กเจเนอเรชันเบตาจะต้องเผชิญกับปัญหาระดับโลกที่ท้าทายมากขึ้น เช่น สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่รุนแรง การปลูกฝังแนวคิดเรื่องความยั่งยืนและการใส่ใจสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ยังเล็กเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงการสนับสนุนให้พวกเขาพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา และความยืดหยุ่นทางจิตใจ (resilience) เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับตัวและสร้างสรรค์โอกาสใหม่ ๆ ในโลกที่ไม่หยุดนิ่ง

ผู้ใหญ่ในยุคปัจจุบัน ควรทำหน้าที่เป็น "ผู้สนับสนุนที่ดี" เปิดรับการเปลี่ยนแปลงและพร้อมที่จะเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็กเจเนอเรชันนี้ในทุกย่างก้าวของการเติบโต เพราะเมื่อเจเนอเรชันเบตาสิ้นสุดลงในปี 2582 เจเนอเรชันถัดไปอาจถูกเรียกว่า "เจเนอเรชันแกมมา" ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มประชากรที่เกิดระหว่างปี 2583-2597 พวกเขาจะเผชิญกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง แต่จะยังคงมรดกทางความคิดและความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมจากพ่อแม่ในเจเนอเรชันก่อนหน้า

 

10 ข้อต้องรู้เกี่ยวกับ "เบตาเบบี้"

·       เกิดระหว่างปี 2568-2579 เป็นกลุ่มประชากรที่เกิดขึ้นต่อจากเจเนอเรชันอัลฟา

·       ชื่อ "เบตา" มาจากอักษรกรีก

·       คาดการณ์ว่าเป็นร้อยละ 16 ของประชากรโลกในปี 2578 จะมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจและสังคม 

·       เติบโตในยุคที่ AI เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การศึกษา การทำงาน ไปจนถึงการดูแลสุขภาพ

·       พ่อแม่เป็นเจเนอเรชัน Y-Z ซึ่งมีแนวโน้มใส่ใจสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี

·       เผชิญความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศและความเป็นเมือง ต้องเรียนรู้เรื่องการปรับตัวกับปัญหาระดับโลกที่ซับซ้อน

·       มีแนวโน้มถูกเลี้ยงดูด้วยความระมัดระวังเรื่องหน้าจอ เพราะพ่อแม่สนับสนุนการจำกัดเวลาใช้งานเทคโนโลยี

·       เติบโตมาในโลกดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงอย่างสมบูรณ์ ไม่แยกระหว่าง "ออนไลน์" และ "ออฟไลน์"

·       มีโอกาสใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 22  ทารกที่เกิดปี 2568 จะมีอายุ 76 ปีในปี ค.ศ.2101

·       อาจเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดใหม่ ๆ เพื่อโลกที่ยั่งยืน ด้วยพื้นฐานการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคม

 

“Gen Beta”เติบโตพร้อมเทคโนโลยีแห่งอนาคต 

เด็กทารกที่เกิดในปี 205 และนับต่อไปอีก 14 ปีจะเป็นกลุ่มคนเจเนอเรชันใหม่ “Gen Beta” (Generation Beta) เป็นมนุษย์เจนที่จะเติบโตพร้อมกันเทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่เด็กเจนเบตา จะเป็นลูก ๆ ของของเจนมิลลาเนียล (Generation Millennials) และ เจนซี (Generation Z) 

คาดว่าภายในปี 2035 จะมีประชากรเจนเบตาคิดเป็น 16 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรโลก 

เจนเบตา เป็นมนุษย์ที่จะใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 22 และกลุ่มคนเจเนอเรชันดังกล่าวจะมีอายุราว 76 ปี ในปี 2102 

ทำไมถึงเรียกว่า เจน เบตา? นั่นเป็นเพราะ เบตา เป็นสัญลักษณ์ที่ตามหลัง อัลฟา ตามตารางแสดงอักษรกรีก เจนเบตาเป็นผู้ที่เกิดระหว่างปี 2025 ถึง 2039 ตามหลังเจนอัลฟาที่เกิดระหว่างปี 2013 ถึง 2024 

เว็บไซต์อินเดียทูเดย์ รายงานอ้างอิงผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า เจเนอเรชันเบตาจะเติบโตพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยที่มนุษย์ยุคปัจจุบันอาจคาดไม่ถึง พวกเขาจะเติบโตพร้อมกับปัญญาประดิษฐ์ และจะใช้ชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างกับผู้คนเจเนอเรชันก่อน ๆ ส่วนสิ่งที่น่ากังวลคือผู้คนเจนดังกล่าวอาจประสบปัญหาเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและปัญหาสุขภาพจิต 

ที่มา ; thaipbs

เกี่ยวข้องกัน

2025 ต้อนรับการมาถึงของ เจน "Beta" ผู้ลืมตาดูโลก 1 มกราคม 2025 

เริ่มต้นปี 2025 ถือได้ว่า ประชากรโลกสิ้นสุดเจเนอเรชั่น Alpha เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทารกคนสุดท้ายของรุ่นนี้ เกิดในวันที่ 31 ธันวาคม 2024 และต้อนรับการมาถึงของ เจน "Beta" ผู้ลืมตาดูโลก 1 มกราคม 2025 

เจน “เบต้า” (Beta) ซึ่งจะเกิดระหว่างปี 2025 - 2039 ส่วนใหญ่เป็นลูกของคนเจน Z และ Millenials หรือเรียกรวมๆ ว่า เจนเซนเนียล โดยที่มาของชื่อ "เบต้า" มาจากการตั้งชื่อที่สอดคล้องกับลำดับอักษรกรีก ถัดจากอัลฟา (Alpha a) มาถึง (Beta B) 

กรุงเทพธุรกิจ ชวนทบทวนกันอีกครั้ง ว่า ใครคือเจนไหนกันบ้าง แล้วลักษณะโดดเด่นของแต่ละเจนเป็นอย่างไร

ขณะที่ "บูมเมอร์" เริ่มลดอำนาจและบทบาทในสังคม โดยหันมาเอ็นจอยกับชีวิตที่เหลือ "เจน X" ก็ตกเป็นเป้าสนามอารมณ์จากคนเจนอื่น ส่วน "เจน Y" หรือ "มิลเลนเนียลส์" แน่นอนว่า ยังเป็นเดอะแบก แบกตัวเองก็แย่แล้ว ยังต้องดูแลพ่อแม่และลูกของตัวเองด้วย หลายคนจึงประสบภาวะ "หนี้ท่วมหัว" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ขณะที่ "เจน Z" ผู้เริ่มเข้าสู่โลกการทำงานได้เพียงไม่นาน ก็ยังคงต้องฝ่าฟันความยากลำบาก ผ่านมาแล้วทั้งโควิด จนถึงวิกฤติเศรษฐกิจโลกจนแทบมองไม่เห็นอนาคต 

เหล่าเด็กๆ "เจน Alpha" ก็กำลังเติบโตรอผลิบานในโลกที่หวังว่าจะดีขึ้นได้กว่านี้ และหวังว่า เจนน้องใหม่อย่าง "Beta" จะได้พบกับอนาคตที่มีความหวัง ด้วยพลังจากเจน Z ผู้เป็นพ่อแม่ที่พยายามฟื้นโลกดีๆ ไว้ให้ลูกๆ ของพวกเขา

 

สรุป TREND 2025 เข้าใจคนต่างเจเนอเรชั่น โดย TCDC 

นิตยสาร “คิด” Creative Thailand ภายใต้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA เปิดตัว e-book "เจาะเทรนด์โลก 2025" หรือ "Trend 2025 : BEYOND IMAGINATION" คู่มือทางความคิดที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการ นักออกแบบ นักการตลาด นักบริหารแบรนด์ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทุกสาขา รวมถึงผู้สนใจทั่วไป ได้มองเห็นแนวทางของสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั่วโลกในปี 2025 

ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งจากรายงานเป็นเรื่องของ Generation ซึ่งกรุงเทพธุรกิจ สรุปข้อมูลน่าสนใจของแต่ละเจเนอเรชั่น ทั้งเพื่อเข้าใจคนต่างวัย รวมถึงนักธุรกิจ นักการตลาด สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อ มาไว้ให้ที่นี่

 

Baby Boomer (1946 - 1964) เมื่อ 'การแก่' ไม่ใช่เรื่องตลก 

รายงานจากสหประชาชาติ คาดการณ์ว่า ในปี 2050 จะมีจำนวนผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า คนที่มีอายุ 15 - 24 ปี ทั้งนี้ มีอินไซต์ที่น่าสนใจ คือ ชาวบูมเมอร์มองว่า การวางตัวให้เท่าทันโลก ตามกระแสโซเชียล หรือใช้มีมตามวัยรุ่น ไม่ใช่เรื่องตลกที่ต้องโดนล้อเลียน 

ผลสำรวจผู้สูงอายุในสหรัฐ โดย The Guardian เผยว่า แม้พวกเขาจะอายุมากขึ้น แต่ครั้งหนึ่งก็เป็นเด็กที่ต่อสู้กับอุปสรรคตามบริบทของคนยุคหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ พวกเขาพร้อมปล่อยจอย ด้วยการใช้ชีวิตตามบริบทของคนยุคนี้บ้าง 

ผลสำรวจจาก Demandsage ชี้ว่า 54% ของธุรกิจในสหรัฐ มีเจ้าของเป็นบูมเมอร์ วัย 60 ปีขึ้นไป และมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารบริษัทขนาดใหญ่ในวัย 70 ปีขึ้นไปด้วย 

ขณะที่ธุรกิจยุคนี้มักให้ความสนใจไปกับผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล และ เจน Z แต่กลับลืมไปว่า ผู้บริโภคที่มีกำลังทรัพย์และต้องการสินค้าที่มีคุณภาพยิ่งกว่า คือ เหล่าเบบี้บูมเมอร์ 

และแม้บูมเมอร์มักถูกมองว่า โลว์เทค แต่ทราบหรือไม่ว่า นี่คือผู้บริโภคกลุ่มใหญ่สุดในสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และสมาร์ทวอทช์ โดยเฉพาะถ้าเป็นแก็ดเจ็ทเกี่ยวกับสุขภาพ คนกลุ่มนี้จะให้ความสนใจ 

ส่วนเรื่องการรับสื่อ กลุ่มบูมเมอร์ชอบดูวิดีโอแต่ไม่เปิดเสียง อ่านซับแทน ฉะนั้น ขนาดตัวหนังสือต้องใหญ่ ถ้าเป็นเว็บไซต์ให้เกิน 16 pt และเลือกประโยคสั้น ตรงประเด็น

 

Gen X (1965 - 1980) 'สนามอารมณ์' ของคนเจนอื่น

ความน่าสนใจของคนเจน X คือ แม้พวกเขาจะเติบโตในบ้านที่ให้ความสำคัญเรื่องความประหยัดและอดออม แต่ทุกวันนี้ เจน X จัดเป็นกลุ่มผู้บริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยในอันดับต้นๆ ทั้งนี้เพราะพวกเขาเข้าใจสมการความคุ้มค่าที่แท้จริง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับแค่ราคา แต่สินค้าเหล่านั้นต้องสร้างประสบการณ์หรือมอบคุณค่าที่ดีกว่าได้

ส่วนในสนามแรงงาน ชาวเจน X ต้องรับแรงกดดันหลายด้าน ไหนจะโดนเหยียดอายุ แล้วยังต้องเครียดเรื่องการวางแผนเกษียณ แต่ก็ถือเป็นเจนที่ปรับตัวเก่ง 

อีกหนึ่งความน่าสนใจจากรายงานชิ้นดังกล่าว ระบุว่า ชาวเจน X เริ่มตกอยู่ในสนามอารมณ์และตกเป็นประเด็นมากว่าขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะเมื่อบูมเมอร์ลดบทบาทลงไป ทำให้เจน X ขึ้นมาที่อำนาจและบทบาทแทน 

ทั้งนี้คอลัมนิสต์จาก New York Times บอกไว้ว่า "การด่าเจนเอ็กซ์ให้เจ็บนั้นยากมาก เพราะ นี่คือเจนที่ไม่ชอบตัวเองอยู่แล้ว" อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวย้ำว่า เราไม่สามารถเหมารวมว่า เจน X ทุกคนจะมีทัศนคติดังกล่าวได้ 

ในมุมของการบริโภค พบว่า เจน X เป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่สุดในตลาดความงาม แต่กลับเป็นเจนที่มักถูกลืม ทั้งที่เป็นเจนที่มีกำลังซื้อสูง โดยพบว่า ผู้หญิงเจนนี้มองหาการนำเสนอความงามแบบวัยกลางคนมากขึ้น

ในส่วนความสนใจบริโภคสื่อของคนเจน X จะผสมผสานระหว่างสื่อดั้งเดิมและสื่อดิจิทัลที่เน้นคุณภาพ ย้อนความทรงจำ อ้างอิงถึงวัฒนธรรมป๊อปยุค 70 80 และ 90

 

Millennials (1980 - 1995) โสด..โสด อยู่ทางนี้

Tri-life Crisis หรือ วิกฤติชีวิตวัยสามสิบ สามารถเกิดขึ้นทั้งในทุกเพศ ส่วนใหญ่พบในวัย 34-37 ปี โดยมีอาการเครียดทั้งการงาน การผ่อนบ้าน การแต่งงาน มีลูก รวมถึงเป้าหมายชีวิตที่ยากเกินจะทำให้สำเร็จภายในอายุ 30 ปี และเมื่อเป้าหมายชีวิตมันยาก ทำให้ความสุขเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน กลายเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตให้กับคนเจนนี้ 

ขณะที่ Morgan Stanley ให้ข้อมูลว่า กลุ่มมิลเลนเนียล คือ รุ่นที่หย่าร้างมากสุด จนเกิดประชากรคนโสดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และคาดว่า คนโสดอายุ 25-44 ปีจะมีมากถึง 45% ในปี 2030 

ทั้งนี้พบว่า คู่รักบางคู่ แม้จะเลิก(รัก)กันแล้ว แต่ยังคงอยู่ด้วยกันต่อไป ทั้งเหตุผลเรื่องลูก รวมถึงกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายหากต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือ ต้องกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ 

ในแง่มุมการจับจ่าย พบว่า คนมิลเลนเนียลเป็นลูกค้า Buy Now Pay Later จำนวนมากที่สุดถึง 36% แต่น่าสนใจตรงที่ eMarketer ระบุว่า คนกลุ่มนี้เป็นผู้บริโภคที่จ่ายเงินผ่อนตรงเวลา

 

Gen Z (1996 - 2011) First Job Crisis กลายเป็นคนไม่ถูกเลือก

ประเด็นน่าสนใจจากรีพอร์ทชิ้นนี้ ระบุว่า เจน Z เป็นกลุ่มที่เริ่มไม่แฮปปี้กับโซเชียลมีเดีย ที่นอกจากจะไม่ช่วยให้หายเหงา กลับตรงกันข้ามคือเหงายิ่งกว่า แถมยังทำให้พักผ่อนน้อยลงด้วย ทั้งนี้ ขณะที่โลกวุ่นวายด้วยปัญหา แต่เจน Z ต้องการความโรแมนติกมากกว่าใคร 

ในโลกการทำงาน เจน Z บางส่วนกำลังเผชิญ First Job Crisis ต้องปรับตัวเข้ากับสังคมและการทำงานหลังการระบาดของโควิด19 และเจน Z จำนวนหนึ่ง "ถูกคัดออกจากงาน" ลำดับต้นๆ 

หนุ่มสาววัยนี้ บอกว่า ตัวเองหางานยากกว่ารุ่นพ่อแม่ และไม่มั่นใจในฐานะการเงินของตัวเอง 

เกร็ดน่าสนใจของชาวเจน Z คือ เรื่องแบบทดสอบทางจิตวิทยา (MBTI) เป็นอะไรที่ฮิตมากๆ ในกลุ่มเจน Z โดยเฉพาะในเกาหลีใต้ เพราะมองว่า การบอกคนอื่นให้รู้ถึงตัวตนของเรา จะเป็นประโยชน์ในการสร้างสัมพันธ์ เพื่อรับมือกับคนต่างบุคลิกภาพได้ดียิ่งขึ้น

 

Gen Alpha (2010 - 2024) เจเนอเรชั่นแห่งการถดถอย

ในปีนี้ เจน Alpha มีจำนวน 2.2 พันล้านคน โดยในปี 2030 เจนอัลฟ่ารุ่นแรกจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ (อายุ 20 ปี)

มีการคาดการณ์ว่า 65% ของ เจน Alpha  จะทำงานในตำแหน่งที่ไม่มีอยู่ในปัจจุบัน และมีเพียง 50% ของคนเจนนี้ ที่จะจบมหาวิทยาลัย ขณะที่ Content Creator คือ อาชีพในฝันของชาวอัลฟา 

การที่เจน Alpha เติบโตขึ้นท่ามกลางภาวะฉุกเฉินด้านสภาพอากาศ ทำให้คนเจนนี้ ตระหนักถึงความท้าทายด้านสภาพอากาศอย่างมาก 

ขณะเดียวกัน เจน Alpha ให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพจิตมาก โดยในสิงคโปร์ คนเจนนี้ที่เข้าสู่วัยรุ่น 1 ใน 3 มีภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล 

ทั้งนี้ เจน Alpha ถูกนิยามว่า เป็นเจเนอเรชั่นแห่งการถดถอย (The Regression Generation) จากอัตราการอ่านออกเขียนได้ที่ลดลง

 

BETA (2025 - 2039) เจนแห่ง AI-First

เจเนอเรชั่นเบต้า เกิดระหว่างปี 2025 - 2039 โดย เบต้า คือ การตั้งชื่อที่สอดคล้องกับลำดับอักษรกรีก หลังจากเจนอัลฟา (Alpha a) มาถึง (Beta B) 

ขณะที่คนเจน X โตมามีไฟฟ้าใช้ คนเจน Z เกิดมาก็มีอินเทอร์เน็ตแล้ว ส่วนเจน Beta เติบโตมาในโลกของปัญญาประดิษฐ์ โดยในปี 2026 พบว่า 90% ของเนื้อหาออนไลน์สามารถสร้างขึ้นได้โดย AI 

โลกในปี 2050 ซึ่งเจน Beta รุ่นแรกก้าวสู่วัย 25 ปี คาดว่า เกินครึ่งจะอยู่อาศัยในเขตเมือง โดยเมืองในโลกอนาคต จะเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อความเท่าเทียม และ เจน Beta จะเติบโตในสังคมที่ "ความแตกต่าง" ไม่เพียงเป็นที่ยอมรับ แต่ยังได้รับการยกย่องอีกด้วย 

สรุป TREND 2025 เข้าใจคนต่างเจเนอเรชั่น โดย TCDC ผ่าน e-book "เจาะเทรนด์โลก 2025" หรือ "Trend 2025: BEYOND IMAGINATION" เจาะพฤติกรรม ความคิด ความฝัน และความเชื่อ ของคนแต่ละเจเนอเรชั่น 

ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ