ค้นหา

10 วิกฤติสิ่งแวดล้อม ที่ควรจับตาในปี 2025

ก้าวเข้าสู่ปี 2025 แล้วแต่วิกฤติภูมิอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อมมากมายยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาที่สำคัญที่สุดที่โลกกำลังเผชิญ ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมกำลังปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ มีผลกระทบต่อระบบนิเวศ ชุมชน และเศรษฐกิจทั่วโลก 

ปีนี้นำมาซึ่งทั้งความท้าทายและโอกาสในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและเปลี่ยนไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น ในบทความนี้ได้รวบรวมความท้าทายและวิกฤติภูมิอากาศสำคัญที่ควรระวังในปี 2025

1. รักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C

เป้าหมายในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5°C จากระดับก่อนอุตสาหกรรมยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญ และ “Keep 1.5 Alive” ก็เป็นคำขวัญของสหประชาชาติมาเป็นเวลาหลายปี แต่ไม่มีท่าทีว่า เราจะทำได้อย่างที่หวัง
ในการประชุม COP30 ปลายปีนี้ มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 ถึง 21 พฤศจิกายน 2025 จะเป็นการประชุมว่าด้วยสภาพอากาศของสหประชาชาติซึ่งเน้นการบรรเทาผลกระทบ โดยการดำเนินการและนโยบายที่ออกแบบมาเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น

ประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะมา COP30 ที่เมืองเบเล็ม ประเทศบราซิลพร้อมกับคำมั่นสัญญาที่ปรับปรุงใหม่และทะเยอทะยานมากขึ้นในการลดก๊าซเรือนกระจก การประชุม COP30 จะมุ่งเน้นการเสริมสร้างความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างไรก็ตามการมีความเห็นแต่ขาดการดำเนินการจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลร้ายแรง หากไม่มีการดำเนินการที่มีนัยสำคัญ เราอาจเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบร้ายแรง โดยเฉพาะกับชาติที่เป็นเกาะที่เสี่ยง

2. การลดมลพิษจากพลาสติก

ระดับมลพิษจากพลาสติกยังคงเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2025 ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการลดของเสียพลาสติกและส่งเสริมทางเลือกที่ยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงระบบรีไซเคิลและส่งเสริมการใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้

การเจรจาระหว่างสหประชาชาติเพื่อรับมือกับปัญหามลภาวะจากพลาสติกที่ระบาดไปทั่วโลกใกล้จะบรรลุข้อตกลงแล้ว ในระหว่างการเจรจาที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญบางประการเกิดขึ้นระหว่างการเจรจาในเดือนพฤศจิกายน 2024 ซึ่งเป็นการเจรจารอบที่ 5 ต่อจากมติสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติปี 2022 ที่เรียกร้องให้มีเครื่องมือที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับมลภาวะจากพลาสติก

ซึ่งรวมถึงในสิ่งแวดล้อมทางทะเลด้วย จำเป็นต้องทำให้ข้อตกลงใน 3 ด้านหลักมีความชัดเจน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์พลาสติก รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับสารเคมี การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน และการจัดหาเงินทุน

ปัจจุบัน ประเทศสมาชิกมีหน้าที่ต้องหาทางออกทางการเมืองสำหรับความขัดแย้งระหว่างกันก่อนที่การประชุมครั้งต่อไปจะเริ่มต้นขึ้น และต้องบรรลุข้อตกลงสุดท้ายที่กล่าวถึงวงจรชีวิตทั้งหมดของพลาสติกและส่งมอบโมเมนตัมระดับโลกที่เพิ่มขึ้นเพื่อยุติมลภาวะจากพลาสติก

อิงเกอร์ แอนเดอร์สัน ผู้อำนวยการบริหารโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) กล่าวว่า “เป็นที่ชัดเจนว่าโลกยังคงต้องการและเรียกร้องให้ยุติมลภาวะจากพลาสติก เราจำเป็นต้องสร้างเครื่องมือที่แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดแทนที่จะทำต่ำกว่าศักยภาพ ขอเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกทุกประเทศเข้ามามีส่วนร่วม” 

3. การจัดหาเงินทุนสำหรับเศรษฐกิจสะอาด

การเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจโลกที่สะอาดขึ้นต้องการการลงทุนทางการเงินอย่างมาก ในปี 2025 จะมีการเน้นที่การระดมทุนเพื่อสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียน โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว และมาตรการการปรับตัวต่อสภาพอากาศ การร่วมมือระหว่างประเทศและกลไกการเงินใหม่ๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้

COP29 ในปี 2024 ที่กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน เมื่อ พฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมา สิ้นสุดลงด้วยข้อตกลงครั้งสำคัญที่กำหนดเป้าหมายการเงินด้านสภาพภูมิอากาศใหม่ (NCQG) ที่ทะเยอทะยาน เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ในการจัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างเต็มที่

ซึ่งเรียกร้องให้ภาคีทั้งหมดระดมทุนอย่างน้อย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2035 ซึ่งเป็นเป้าหมายการระดมทุนรวมทั่วโลกที่ใหญ่ที่สุด และมุ่งหวังที่จะได้รับการสนับสนุนจากทุกแหล่ง ทั้งแหล่งสาธารณะและเอกชนสำหรับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศในประเทศกำลังพัฒนา

นอกจากนั้น ยังขยายเป้าหมายการระดมทุนร่วมกันของประเทศพัฒนาแล้ว จาก 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ที่กำลังจะหมดเขตในปี 2025 เป็น 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2035 ซึ่งเป็นการเพิ่มพลังอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศพัฒนาแล้วต้องเป็นผู้นำสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศในประเทศกำลังพัฒนา และประเทศพัฒนาน้อยที่สุด

4. ปกป้องธรรมชาติ

การจัดการประชุม COP30 ในป่าฝนอเมซอนแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการแก้ปัญหาทางธรรมชาติ ความพยายามในการปกป้องป่าฝนและระบบนิเวศอื่น ๆ จะมีความสำคัญในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

การประชุม COP30 ปีที่แล้ว นำไปสู่การจัดทำสนธิสัญญาสิ่งแวดล้อมสามฉบับเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และการกลายเป็นทะเลทราย

น่าเสียดายที่ป่าฝนและ "แนวทางแก้ปัญหาตามธรรมชาติ" อื่นๆ เผชิญกับภัยคุกคามจากการพัฒนาของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่าอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งได้ทำลายล้างพื้นที่จำนวนมาก สหประชาชาติจะดำเนินความพยายามที่เริ่มต้นในปี 2024 เพื่อปรับปรุงการปกป้องป่าฝนและระบบนิเวศอื่นๆ ในการเจรจาเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งจะเริ่มขึ้นอีกครั้งที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 เพื่อแก้ไขปัญหาจากการตัดไม้ทำลายป่าและผลกระทบจากกิจกรรมมนุษย์

5. เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว

ความถี่และความรุนแรงของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2025 ตั้งแต่คลื่นความร้อนจนถึงพายุเฮอริเคน เหตุการณ์เหล่านี้จะมีผลกระทบร้ายแรงต่อชุมชนทั่วโลก การเสริมสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการปรับปรุงความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติจะเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสียหายและช่วยชีวิต

6. การขาดแคลนน้ำ

การขาดแคลนน้ำยังคงเป็นปัญหาระดับโลกที่สำคัญ ในปี 2025 พื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะพื้นที่แห้งแล้งและกึ่งแห้งแล้งจะเผชิญกับการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง ความพยายามในการปรับปรุงการจัดการน้ำ การอนุรักษ์ และการพัฒนาทรัพยากรน้ำที่ยั่งยืนจะมีความสำคัญ

7. ความมั่นคงทางอาหาร

การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมีผลกระทบอย่างมากต่อการเกษตรและการผลิตอาหาร ในปี 2025 เราอาจเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในการรับรองความมั่นคงทางอาหารเนื่องจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว แบบแผนการตกของน้ำฝนที่เปลี่ยนแปลง และอุณหภูมิที่สูงขึ้น การปฏิบัติการเกษตรที่ยั่งยืน เทคโนโลยีการเกษตรที่สร้างสรรค์ และความร่วมมือระหว่างประเทศจะมีความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้

8. มหาสมุทรเป็นกรด

การเพิ่มขึ้นของระดับ CO2 ในบรรยากาศทำให้ความเป็นกรดในมหาสมุทรสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตทางทะเลโดยเฉพาะสัตว์เชลและปะการัง ในปี 2025 การแก้ไขปัญหาการเป็นกรดของมหาสมุทรจะมีความสำคัญในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางทะเลและสนับสนุนชุมชนที่พึ่งพาทะเล

9. การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อระบบนิเวศและบริการที่พวกเขาให้ ในปี 2025 ความพยายามในการอนุรักษ์จะต้องมุ่งเน้นไปที่การปกป้องชนิดพันธุ์ที่ใกล้สูญพันธุ์ การฟื้นฟูที่อยู่อาศัย และส่งเสริมการปฏิบัติที่เป็นมิตรกับความหลากหลายทางชีวภาพ

10. การย้ายถิ่นฐานเนื่องจากสภาพภูมิอากาศ

เมื่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศดำเนินไป ผู้คนจำนวนมากจะถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานเนื่องจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น และการขาดแคลนทรัพยากร ในปี 2025 การจัดการการย้ายถิ่นฐานเนื่องจากสภาพภูมิอากาศและการให้การสนับสนุนแก่ชุมชนที่ถูกย้ายจะมีความสำคัญต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของโลก 

 อ้างอิงจาก : United Nations

ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ  01 ม.ค. 2025

เกี่ยวข้องกัน

รวมปรากฏการณ์ธรรมชาติ สุดเหลือเชื่อตลอดปี 2024 

ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นปีแรกที่มีอุณหภูมิสูงกว่ายุคก่อนอุตสาหกรรมเกิน 1.5 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี และเกิดเหตุการณ์ทางธรรมชาติแปลก ๆ อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็ได้เห็นตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นเพราะ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งเป็นผลจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ 

@‘ทะเลทรายซาฮารา’ กลายเป็นสีเขียว

พื้นที่บางส่วนของ “ทะเลทรายซาฮารา” มีพืชพรรณต่าง ๆ งอกงามอย่างรวดเร็ว กำลังกลายเป็นสีเขียวจนสามารถมองเห็นได้จากอวกาศ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่ควรจะเป็นเช่นนี้

เมื่อไม่นานมานี้ เกิดพายุพัดผ่านมาในพื้นที่ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา จนดาวเทียมของนาซาได้บันทึกภาพพืชพรรณที่บานสะพรั่ง ทั้ง ๆ ที่พื้นที่บริเวณนี้ไม่ควรมีเป็นสีเขียวด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ด้วย นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเหตุการณ์นี้จาก “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งเกิดขึ้นเพราะการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล

พื้นที่แห้งแล้งที่ไม่มีฝนตกในโมร็อกโก แอลจีเรีย ตูนิเซีย และลิเบีย กำลังเริ่มมีสีเขียวขึ้น จากการงอกงามของไม้พุ่มและต้นไม้ในพื้นที่ลุ่มน้ำ หลังจากที่เกิดฝนตกหนัก

ตามข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์สภาพอากาศของ NOAA พบว่า ร่องมรสุมเคลื่อนตัวไปทางเหนือมากกว่าปรกติ แต่ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีพายุพัดเข้าสู่ทะเลทรายซาฮาราตอนใต้ รวมถึงบางส่วนของไนเจอร์ ชาด ซูดาน และภูมิภาคเหนือไกลของลิเบีย ส่งผลให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น 2-6 เท่า 

@‘ทุ่งดอกไม้’ บานเต็มทะเลทราย

ปรากฏการณ์เอลนีโญ” ทำให้เกิดความร้อนถล่มทั่วเอเชียมาแล้วในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ในอีกซีกโลกหนึ่งเอลนีโญกลับช่วยให้ดอกไม้บานสะพรั่งเต็มพื้นที่ทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในชิลี

ทะเลทรายอาตากามา” ทางตอนเหนือของชิลี ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่แห้งแล้งที่สุดในโลก แต่ตอนนี้ทะเลทรายที่แห้งแล้งแห่งนี้กลับมามีสีสันสดใสอีกครั้ง ด้วยดอกไม้นานาพรรณที่เบ่งบานทอดยาวหลายร้อยกิโลเมตร 

เมื่อมีระดับฝนและอุณหภูมิที่เหมาะสม จะช่วยชุบชีวิตพืชทะเลทรายที่หลับใหลให้กลับขึ้นมาชีวิตอีกครั้ง จนได้รับขนานนามว่า “Desierto Florido” หรือ ทะเลทรายที่เต็มไปด้วยดอกไม้

ทะเลทรายกำลังถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณโรงไฟฟ้าเหมืองแร่ แหล่งเศรษฐกิจสำคัญของอเมริกาใต้ ที่กำลังตกอยู่ภายใต้ภัยคุกคามเป็นพิเศษจากการขุดแร่หิน การรักษาสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่นี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ

ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นปีแรกที่มีอุณหภูมิสูงกว่ายุคก่อนอุตสาหกรรมเกิน 1.5 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี และเกิดเหตุการณ์ทางธรรมชาติแปลก ๆ อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็ได้เห็นตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นเพราะ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งเป็นผลจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ 

@‘ทะเลทรายซาฮารา’ กลายเป็นสีเขียว

พื้นที่บางส่วนของ “ทะเลทรายซาฮารา” มีพืชพรรณต่าง ๆ งอกงามอย่างรวดเร็ว กำลังกลายเป็นสีเขียวจนสามารถมองเห็นได้จากอวกาศ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่ควรจะเป็นเช่นนี้

เมื่อไม่นานมานี้ เกิดพายุพัดผ่านมาในพื้นที่ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา จนดาวเทียมของนาซาได้บันทึกภาพพืชพรรณที่บานสะพรั่ง ทั้ง ๆ ที่พื้นที่บริเวณนี้ไม่ควรมีเป็นสีเขียวด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ด้วย นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเหตุการณ์นี้จาก “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งเกิดขึ้นเพราะการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล

พื้นที่แห้งแล้งที่ไม่มีฝนตกในโมร็อกโก แอลจีเรีย ตูนิเซีย และลิเบีย กำลังเริ่มมีสีเขียวขึ้น จากการงอกงามของไม้พุ่มและต้นไม้ในพื้นที่ลุ่มน้ำ หลังจากที่เกิดฝนตกหนัก

ตามข้อมูลจากศูนย์พยากรณ์สภาพอากาศของ NOAA พบว่า ร่องมรสุมเคลื่อนตัวไปทางเหนือมากกว่าปรกติ แต่ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีพายุพัดเข้าสู่ทะเลทรายซาฮาราตอนใต้ รวมถึงบางส่วนของไนเจอร์ ชาด ซูดาน และภูมิภาคเหนือไกลของลิเบีย ส่งผลให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น 2-6 เท่า

@‘หิมะตก’ กลาง ‘ทะเลทราย’ ในซาอุดีอาระเบีย

เกิดฝนตกและลูกเห็บตกหนักในภูมิภาคอัลจาวฟ์ของซาอุดีอาระเบีย ทำให้เกิด “หิมะตก” ใน พื้นที่ทะเลทรายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ชาวบ้านต่างโพสต์รูปภาพและวิดีโอทะเลทรายที่ปกคลุมไปด้วยหิมะลงบนโซเชียลจนกลายเป็นไวรัล  

สำนักข่าวซาอุดีอาระเบียกล่าวว่าสภาพอากาศที่ผิดปกตินี้ ทำให้แม่น้ำและน้ำตกในภูมิภาคมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลำธารในภูมิภาคก็กลับมาไหลอีกครั้ง หลังจากพายุลูกเห็บที่พัดกระหน่ำ 

ตามข้อมูลศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติระบุว่าสภาพอากาศที่แปลกประหลาดนี้ เป็นผลจากความกดอากาศต่ำที่หายากเหนือทะเลอาหรับ ซึ่งพาความชื้นเข้ามา เมื่อเผชิญกับความร้อนที่รุนแรงของทะเลทราย ก็ก่อให้เกิดสภาพอากาศที่ผิดปรกติที่ไม่เคยเกิดทั้งฝนตก พายุลูกเห็บ และหิมะ ทั้งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดีอาระเบีย  

ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่เกิดขึ้นนี้ กลายเป็นเรื่องที่น่ากังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อภูมิภาค

@‘แอนตาร์กติกา’ กลายเป็นสีเขียว 

พืชพรรณขึ้นปกคลุมทวีป “แอนตาร์กติกา” อย่างรวดเร็ว เนื่องจาก “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นต่อเนื่อง

แอนตาร์กติกา” ทวีปที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งกำลังเปลี่ยนเป็น “สีเขียว” ด้วยพืชพรรณนานาชนิดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากต้องเผชิญกับเหตุการณ์ความร้อนจัด อุณหภูมิพุ่งสูงจาก “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ทำให้นักวิทยาศาสตร์เกิดความกังวลว่าจะเกิด “หายนะ” ขึ้นกับทวีปนี้

นักวิทยาศาสตร์ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมและข้อมูลวิเคราะห์ระดับพืชพรรณบนคาบสมุทรแอนตาร์กติก ในบริเวณเทือกเขาที่ทอดยาวไปทางเหนือจนถึงปลายทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งกำลังร้อนขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกมาก

ตามการศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์และเฮิร์ตฟอร์ดเชียร์ในอังกฤษ และคณะสำรวจทวีปแอนตาร์กติกาของสหราชอาณาจักร ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nature Geoscience พบว่าพืชพรรณส่วนใหญ่ เช่น มอสส์ ได้เพิ่มขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายนี้มากกว่า 10 เท่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา 

มอสส์” มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนพื้นผิวหินให้กลายเป็นดิน ซึ่งอาจนำไปสู่พืชที่มีความหลากหลายมากขึ้นในอนาคต อาจรวมถึงเอเลี่ยนสปีชีส์ที่เข้ามาแย่งพื้นที่เติบโตของพืชและสัตว์ท้องถิ่นในแอนตาร์กติกาได้

@‘ภูเขาไฟฟูจิ’ ไร้ ‘หิมะ’ ปกคลุม 

ภูเขาไฟฟูจิ” ยังคงไร้ “หิมะ” ปกคลุม ทำให้ปี 2024 เป็นปีที่หิมะตกบนภูเขาไฟฟูจิช้าสุดเท่าที่มีการบันทึกสถิติไว้ในรอบ 130 ปี ตามข้อมูลจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น

โดยเฉลี่ยแล้ว ภูเขาไฟฟูจิเริ่มจะมีหิมะเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ส่วนในปี 2023 มองเห็นหิมะปกคลุมบนยอดภูเขาไฟครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม แต่เนื่องจากอากาศอบอุ่นซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ ในตอนนี้ยังไม่พบหิมะตกบนภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น 

จากข้อมูลของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาท้องถิ่นโคฟุระบุว่า จนถึงวันที่ 28 ตุลาคม แล้วก็ยังไม่มีหิมะตกมาบนภูเขาไฟฟูจิ ทำให้กลายเป็นปีที่มีหิมะตกช้าที่สุด สถิติเดิมเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ซึ่งเคยเกิดขึ้นสองครั้งในปี 1955 และ 2016

ฤดูร้อนญี่ปุ่นในปี 2024 ถือเป็นฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งถือว่ารุนแรงระดับเดียวกับปี 2023 เนื่องจากคลื่นความร้อนรุนแรงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแผ่ปกคลุมหลายพื้นที่ทั่วโลก 

ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ  01 ม.ค. 2025