ค้นหา

โลกทัศน์และความรู้ไม่จำเป็นต้องมาพร้อมใบปริญญาบัตร

เมื่อผมเรียนจบในเมืองไทย ผมไปทำงานในต่างประเทศอยู่หลายปี จนถึงราวๆ 2528-2529 ก็กลับเมืองไทย ผมไม่ได้สมัครงานตำแหน่งสถาปนิกอีก ผมเบนเข็มไปในสายพาณิชย์ศิลป์ที่ตั้งใจไว้แต่แรก คือสายโฆษณา เพราะในเวลานั้นผมเห็นว่ามันเป็นพื้นที่ให้ผมใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้มากที่สุด 

บางสิ่งในหัวใจบอกว่า นี่คือเวลาเปลี่ยนแปลง

ผมเดินเข้าไปในวงการโฆษณา ทั้งที่ไม่เคยทำงานในสายนี้มาก่อน ด้วยความเชื่อว่าไฟสร้างสรรค์ในหัวจะเปิดทางให้เข้าไป 

แต่สิ่งที่ผมคิดไม่ตรงกับโลกของความจริงนัก ผมเคยเชื่อว่าสามารถใช้ความรู้และทักษะฝ่าวงการใหม่เข้าไปได้ แต่ในโลกของความจริง การที่มือใหม่ที่ไม่เคยทำงานในสายนี้แทรกตัวเข้าไปสู่วงการยากกว่าที่คิด 

และที่น่าแปลกใจคือวงการที่เกี่ยวข้องกับการคิดนอกกรอบที่สุดกลับยังติดมั่นถือมั่นอยู่ในกรอบของใบปริญญา 

วันหนึ่งผมไปสมัครงานในบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ผู้สัมภาษณ์ที่เป็นผู้บริหารถามผมว่า “คุณไปเมืองนอกกลับมา มีใบปริญญาโทมาหรือเปล่า?” 

เมื่อตอบว่า “เปล่า” การสัมภาษณ์ก็ยุติลงเพียงเท่านั้น 

เอเจนซีใหญ่แห่งนั้นไม่ต้อนรับคนไร้ปริญญาจากต่างประเทศ แม้ว่าคนคนนั้นเรียนหลักสูตรเดียวกัน จากโรงเรียนในต่างประเทศแห่งเดียวกัน เพียงแค่ไม่รับใบรับประกันที่เรียกว่าปริญญาหนึ่งใบ 

สองปีต่อมาหลังจากการสัมภาษณ์ครั้งนั้น ผมก็ได้รับรางวัลงานโฆษณาชิ้นแรก หลังจากแทรกตัวเข้าไปในวงการนี้จนได้ โดยไม่มีใบปริญญาเบิกทาง 

พิสูจน์ว่ายังมีคนที่เชื่อเหมือนผมว่า โลกทัศน์และความรู้ไม่จำเป็นต้องมาพร้อมใบปริญญาบัตร 

ผมทำงานในเอเจนซีขนาดเล็ก ซึ่งการสัมภาษณ์ไม่พูดเรื่องใบปริญญา คุยแต่เรื่องประสบการณ์ของการใช้ชีวิตที่ผ่านมา 

นามบัตรของเอเจนซีนี้ไม่พิมพ์ตำแหน่ง ไม่พิมพ์ปริญญาใด

โชคดีที่ในโลกนี้ยังมีคนคิดอย่างนี้ 

ไม่กี่ปีต่อมา เมื่อผมก้าวขึ้นสู่ระดับผู้บริหาร และยืนอยู่บนจุดที่ต้องสัมภาษณ์รับเด็กใหม่ ผมไม่เคยขอดูใบปริญญาและเกรด 

“Show me what you can do.” 

ในมุมมองของผม ปริญญาไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง

ผมเชื่อเสมอว่าการเรียนไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในห้องเรียน ไม่จำเป็นต้องผ่านมหาวิทยาลัย 

ที่มา ; blockdit