ค้นหา

คุณภาพการศึกษาไทย ครองอันดับ 107 ของโลก

World Population Review รายงานข้อมูลการจัดอันดับคุณภาพระบบการศึกษาระดับโลก ประจำปี2024 พบเกาหลีใต้ครองอันดับ 1 ของโลก รองลงมาเป็นประเทศเดนมาร์ก และเนเธอแลนด์ ขณะที่ไทยครองอันดับ 107 ของโลก และครองอันดับที่ 8 รองจากลาว เมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน

แม้ระดับการศึกษาในแต่ละประเทศแตกต่างกันไป แต่คุณภาพระบบการศึกษาของแต่ละประเทศมีความสัมพันธ์กับสถานะเศรษฐกิจโดยรวมและความเป็นอยู่โดยรวมของประเทศอย่างชัดเจน 

โดยทั่วไปแล้ว ประเทศกำลังพัฒนา พลเมืองจะมีการศึกษาที่มีคุณภาพสูงกว่าพลเมืองของประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด และประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการศึกษาที่มีคุณภาพดีที่สุด ซึ่งการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมของประเทศ

ตามข้อมูลของ Global Partnership for Education การศึกษาถือเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนามนุษย์ สังคม และเศรษฐกิจ โดยการศึกษาส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศสนับสนุนสันติภาพ และเพิ่มโอกาสให้บุคคลนั้นๆ ได้มีชีวิตและมีโอกาสในการประกอบอาชีพที่ดีขึ้น

 

การศึกษาเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดที่คุณสามารถใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกได้” เนลสัน แมนเดลา

 

10 ประเทศแรกที่มีการศึกษาคุณภาพดีที่สุดในโลก มีดังนี้

1.เกาหลีใต้ 

2.เดนมาร์ก 

3.เนเธอแลนด์ 

4.เบลเยียม 

5.สโลเวเนีย 

6.ญี่ปุ่น 

7.เยอรมนี 

8.ฟินแลนด์ 

9.นอร์เวย์ 

10.ไอร์แลนด์

 

สำหรับประเทศไทยมีคุณภาพการศึกษาอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก  และครองอันดับที่ 8 รองจากลาว เมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน 

 

อันดับคุณภาพการศึกษาในอาเซียน

1.สิงคโปร์

2.บรูไน

3.เวียดนาม 

4.อินโดนีเซีย

5.ฟิลิปปินส์

6.มาเลเซีย

7.ลาว

8.ไทย 

9.เมียนมา

10.กัมพูชา

รายงานจัดอันกับคุณภาพการศึกษา เป็นส่วนหนึ่งของรายงาน Best Countries ซึ่งจัดทำโดย US News and World Report, BAV Group และ Wharton School ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย

รายงานดังกล่าวได้สำรวจประชากรหลายพันคนจาก 78 ประเทศ จากนั้นจัดอันดับประเทศเหล่านี้ตามข้อมูลจากแบบสำรวจ ส่วนการศึกษาของแบบสำรวจ พิจารณาจากคะแนนคุณลักษณะ 3 รายการ และระบุว่า ระบบการศึกษาของรัฐที่พัฒนาได้ดีจะพิจารณาเกี่ยวกับระดับในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย และการให้การศึกษาคุณภาพสูงสุด  ปี 2023

ทั้งนี้ ผลการศึกษา รวบรวมข้อมูล และการจัดอันดับเกี่ยวกับการศึกษาทั่วโลก ส่วนใหญ่จะตรวจสอบเกี่ยวกับอัตราการรู้หนังสือของผู้ใหญ่ และระดับการสำเร็จการศึกษา อย่างไรก็ตาม การสำรวจบางสถาบันอาจมีการพิจารณานักเรียนในปัจจุบัน รวมถึงความสามารถของนักเรียนนักศึกษาในวิชาต่างๆ

ขณะที่มีประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีติดอันดับโลก แต่ในทางตรงข้ามยังมีหลายประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ยังกระจายไม่ทั่วถึง ซึ่งอาจเกิดจากความขัดแย้งภายในจากปัญหาเศรษฐกิจ หรือโครงการที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนไม่เพียงพอ ซึ่งรายงานการติดตามผลการศึกษาขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ จัดอันดับให้ประเทศชาด ประเทศมาลี และประเทศบูร์กินาฟาโซ มีระบบการศึกษาแย่ที่สุดในโลก

World Population Review เผยข้อมูลการจัดอันดับคุณภาพระบบการศึกษาระดับโลก ปี 2024 เกาหลีใต้ครองอันดับ 1 รองลงมาเป็นเดนมาร์ก และเนเธอแลนด์ ขณะที่ไทยครองอันดับ 107 ของโลก และครองอันดับ 8 ในอาเซียน รองจากลาว 

อ้างอิงจาก: world population review

ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  22 มี.ค. 2025

เกี่ยวข้องกัน

สภาการศึกษา แจงผลวิเคราะห์การจัดอันดับทางการศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียนจริงหรือไม่? 

จากกรณี เว็บไซต์ World Population Review ได้เผยแพร่ผลการจัดอันดับทางการศึกษาของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก 203 ประเทศ โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 107 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษาได้ระดมข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาวิเคราะห์ผลการจัดอันดับดังกล่าว เพื่อตอบคำถามว่า การศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียนจริงหรือไม่ โดยผลการวิเคราะห์เชิงลึก พบประเด็นที่น่าสนใจ น่าเป็นห่วง และพึงระวังสำหรับการศึกษาไทย ซึ่งอยู่ในระหว่างการจัดทำข้อเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว 

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา  เปิดเผยว่า ผลการจัดอันดับทางการศึกษาของเว็บไซต์ World Population Review เป็นการรวบรวมข้อมูลจากการสำรวจ The annual Best Countries Report ที่จัดทำโดย US News and World Report, BAV Group, และ the Wharton School of the University of Pennsylvania ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของคนทั่วโลกประมาณ 17,000 คน จาก 73 ประเทศ โดยผลการสำรวจดังกล่าวในด้านการศึกษา ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 48 เป็นอันดับ 3 ของอาเซียนรองจากประเทศสิงคโปร์ (อันดับ 22) และประเทศมาเลเซีย (อันดับ 37) โดยประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน อาทิ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศเวียดนาม ประเทศเมียนมาร์ ประเทศกัมพูชา ล้วนมีอันดับที่ต่ำกว่าประเทศไทยทั้งสิ้น ขณะที่ประเทศลาว และประเทศบรูไน ไม่พบข้อมูลในการสำรวจดังกล่าว 

และเมื่อพิจารณารายละเอียดอื่น ๆ ก็พบว่า เว็บไซต์ดังกล่าวไม่ได้ให้ข้อมูลอื่น ๆ ที่ใช้ในการจัดอันดับทางการศึกษาที่สามารถเชื่อมโยงกับไปยังข้อมูลสถิติทางการศึกษาอื่น ๆ ที่จะสื่อให้เห็นเกี่ยวกับคุณภาพของระบบการศึกษาแต่ละประเทศ ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นจึงสรุปได้ว่า ผลการจัดอันดับดังกล่าวยังมีความย้อนแย้งกันอยู่ระหว่างข้อมูลผลการสำรวจที่ใช้ในการจัดอันดับกับผลการจัดอันดับของเว็บไซต์ World Population Review การตีความและอธิบายผลการจัดอันดับจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง ดังนั้น การที่จะกล่าวว่าการศึกษาของประทศไทยรั้งท้ายอาเซียน จึงอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม หากเราเปรียบเทียบผลการจัดอันดับกับทุกประเทศทั่วโลก ก็พบข้อเท็จจริงที่ชัดเจนและไม่อาจปฏิเสธได้ว่า  ระบบการศึกษาของประเทศไทยยังมีคุณภาพและมาตรฐานน้อยกว่าอีกมากมายหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในทวีปยุโรป และมีประเด็นอีกมากมายที่ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนา อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่ได้จากผลการจัดอันดับครั้งนี้ คือ ผลการจัดอันดับในครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนให้ประเทศไทยต้องตื่นตัวและเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาและพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยมากกว่าเดิม มิเช่นนั้นแล้ว ประเทศไทยก็จะถูกประเทศอื่น ๆ ที่ตามหลังเราอยู่แซงหน้าเราไปในไม่ช้านี้ 

รศ.ดร.ประวิต กล่าวต่อว่า อีกหนึ่งข้อมูลทางการศึกษาที่น่าสนใจที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ World Population Review คือ อัตราการรู้หนังสือ (Literacy Rate) ของประชากรในแต่ละประเทศ โดยพบว่า ประเทศไทยมีอัตราการรู้หนังสือได้อยู่ที่ 94% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศด้านในกลุ่มอาเซียน อาทิ มาเลเซีย (95%) ฟิลิปปินส์ (96%) อินโดนีเซีย (96%) เวียดนาม (96%) สิงคโปร์ (97%) บรูไน (98%) ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน มีอัตราการรู้หนังสือน้อยกว่าประเทศไทยทั้งสิ้น โดยข้อมูลอัตราการรู้หนังสือของประเทศไทยเป็นข้อมูลตั้งแต่ปี 2021 จึงอาจไม่สะท้อนสถานการณ์ในปัจจุบันเท่าใดนัก 

ทั้งนี้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ร่วมกับกรมส่งเสริมการเรียนรู้ได้มีการสำรวจการรู้หนังสือของประเทศไทยซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2568 โดยมีผลการสำรวจเบื้องต้น พบว่า อัตราการรู้หนังสือของคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 99% ซึ่งหากใช้ข้อมูลดังกล่าวในการจัดอันดับจะถือว่าประเทศไทยมีอัตราการรู้หนังสือเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจะจัดการแถลงข่าวรายละเอียดและเผยแพร่ผลการสำรวจการรู้หนังสือของประเทศไทยดังกล่าวภายในเดือนมีนาคม 2568 นี้ ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ระบบการศึกษาของประเทศไทยยังมีจุดแข็งอยู่อีกมากมายที่ยังไม่ได้ประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศได้รับรู้ จึงเป็นโจทย์ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องรีบเร่งดำเนินการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคส่วนต่าง ๆ ต่อการศึกษาไทยให้เพิ่มมากขึ้น”รศ.ดร.ประวิต กล่าว 

รศ.ดร.ประวิต ได้ให้ข้อแนะนำในการพิจารณาผลการจัดอันดับทางการศึกษาของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างมีสติและเท่าทันว่า “ปัจจุบัน สาธารณชนและหน่วยงานต่างๆ หันมาสนใจผลการจัดอันดับด้านต่าง ๆ ของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยอย่างยิ่งการจัดอันดับด้านการศึกษา เพราะการจัดอันดับจะเป็นประโยชน์ที่ทำให้เราเห็นภาพทางการศึกษาในแบบที่เข้าใจง่ายขึ้น และชัดเจนขึ้น แต่การมองผลการจัดอันดับทางการศึกษาโดยปราศจากความระมัดระวังและความรอบคอบก็ก่อให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา จึงได้สังเคราะห์แนวทางการพิจารณาผลการจัดอันดับทางการศึกษาออกมาเป็น Ranking Literacy หรือ ความฉลาดรู้ในการพิจารณาผลการจัดอันดับทางการศึกษา โดยมีหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ

1.ต้องมองหลายการจัดอันดับ/ดัชนีประกอบกันเพื่อให้เห็นภาพการศึกษาชัดเจนมากขึ้น เนื่องจาก การจัดอันดับของหน่วยงานต่าง ๆ มีจุดเน้นและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ซึ่งนำมาสู่การนำข้อมูลสถิติทางการศึกษามาใช้ในการจัดอันดับที่แตกต่างกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ World Population Review ใช้การสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการศึกษาแต่เพียงอย่างเดียวในการสะท้อนภาพรวมการจัดการศึกษาทั้งหมด อาจทำให้ผลการจัดอันดับไม่สะท้อนภาพความเป็นจริงของระบบการศึกษา

2.ต้องมองการจัดอันดับให้เป็นแบบ Longtitutional ranking ควบคู่ไปกับการมองแบบ Cross – Sectional Ranking โดยการมองการจัดอันดับแบบ Longtitutional ranking  คือ การมองผลการจัดอันดับต่อเนื่องย้อนไปข้างหลัง ซึ่งจะทำให้เห็นทิศทางและแนวโน้มผลการจัดอันดับ ขณะที่การมองการจัดอันดับแบบ Cross – Sectional Ranking คือ การมองผลการจัดอันดับในปีปัจจุบันและเปรียบเทียบกับประเทศต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้เห็นถึงสภาวะปัจจุบันของประเทศ ซึ่งการวิเคราะห์ใน 2 มิติแบบนี้จะทำให้มองเห็นพัฒนาการของการศึกษาของแต่ละประเทศมากขึ้น

3.ต้องมองค่าของดัชนีมากกว่าอันดับที่ปรากฎ ผลการจัดอันดับที่ปรากฏออกมาไม่สามารถอธิบายลักษณะ จุดแข็ง และจุดอ่อนของการศึกษาของประเทศได้ แต่ค่าของตัวชี้วัดแต่ละตัวต่างหากที่จะอธิบายผลการจัดอันดับได้ดีกว่า ดังนั้น จึงไม่ควรตัดสินคุณภาพของการศึกษาโดยใช้ผลการจัดอันดับแต่เพียงอย่างเดียว” 

รศ.ดร. ประวิต กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการไม่ได้นิ่งนอนใจในการพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ผลการจัดอันดับทางการศึกษาที่สำคัญในระดับนานาชาติของประเทศไทยสูงขึ้น โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบเรื่องนี้ 

รศ.ดร. ประวิต กล่าวว่า  โดยขณะนี้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา มีกิจกรรมสำคัญที่จะเป็นเรือธงในการขับเคลื่อนการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษา 3 เรื่อง คือ

1. การจัดทำแผนระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของประเทศไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล พ.ศ. 2568 – 2570 ซึ่งแผนดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสภาการศึกษาแล้ว อยู่ในระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ

2. การจัดทำดัชนีการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นสาระสนเทศสำคัญที่รวบรวมข้อมูลทางการศึกษาที่เป็นตัวชี้วัดของการจัดอันดับนานาชาติมาประมวลผลให้เห็นถึงสภาวะการศึกษาของประเทศไทยอย่างเป็นระบบ ต่อเนื่อง และตรงตามสถานการณ์จริง รวมทั้งยังมีระบบ Education Benchmarking ที่เปรียบเทียบพัฒนาการทางการศึกษาของประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ เพื่อส่งสัญญาณให้กับผู้บริหารการศึกษาให้เป็นข้อมูลในการวางแผนทางการศึกษา และ

3. การทำเอกสารตราสารทางการศึกษาเกี่ยวกับการประเมินระบบการศึกษาให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งเป็นเอกสารที่ใช้ในการสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีแนวทางการพัฒนาการศึกษาที่ชัดเจนได้มาตรฐานในระดับนานาชาติ ซึ่งหากดำเนินการได้ครบถ้วนทั้งหมดแล้ว ความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของประเทศไทยในเวทีโลกต้องเกิดการพัฒนาอย่างแน่นอน 

เลขาฯ สภาการศึกษา เผย ผลวิเคราะห์การจัดอันดับทางการศึกษา : การศึกษาไทยรั้งท้ายอาเซียน จริงหรือไม่ แนะ 3 แนวทางการดูผลการจัดอันดับการศึกษาอย่างมีสติและเท่าทัน

 

ที่มา  ; มติชนออนไลน์ วันที่ 24 มีนาคม 2568