ค้นหา

นโยบาย “๓ เร่ง ๓ ลด ๓ เพิ่ม” พัฒนาการเด็กปฐมวัย

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยมติคณะรัฐมนตรี (27 มีนาคม 2568) เห็นชอบแผนส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นแผนดำเนินงานจากคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ซึ่งประกอบด้วยนโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม”

 

 

3 เร่ง

1.   เร่ง ให้ความรู้ความเข้าใจ แก่ผู้ปกครอง ครู ผู้ดูแลเด็ก ชุมชน และสังคม ในฐานะที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อการเจริญเติบโตทุกด้านของเด็กปฐมวัย

2.    เร่ง จัดสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า รวมถึงทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อการเติบโตอย่างอยู่ดีมีสุขของเด็กปฐมวัย

3.    เร่ง เสริมศักยภาพ อปท. ชุมชน และกลไกระดับพื้นที่ใกล้ตัวเด็ก เช่น รพ.อำเภอ  รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

 

3 ลด

1.   ลด การใช้สื่อหน้าจอในเด็กปฐมวัยอย่างจริงจัง และงดใช้ในเด็กก่อนวัย 2 ขวบ โดยห้ามให้ใช้โทรศัพท์มือถือหรือสื่อหน้าจอแก่เด็กปฐมวัยที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี โดยเด็ดขาด และเด็กปฐมวัยอายุ 3 ปีขึ้นไป ให้เล่นได้อย่างมีเงื่อนไข

2.    ลด ความเครียด คืนความสุขแก่เด็กปฐมวัย โดยการไม่เร่งการเรียนเขียนอ่านหรือยัดเยียดความรู้ให้เด็กปฐมวัย แต่เน้นการทำกิจกรรมที่หลากหลาย

3.    ลด การใช้ความรุนแรงกับเด็กปฐมวัย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยให้ยกเลิกการลงโทษด้วยวิธีการที่รุนแรงและการใช้คำพูดในเชิงลบ

 

3 เพิ่ม

1.  เพิ่ม กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ ผ่านการเล่นที่หลากหลาย เช่น ดนตรี กีฬา การออกกำลังกาย

2.   เพิ่ม การเล่าหรืออ่านนิทานกับเด็กสม่ำเสมอ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา ทักษะสมอง จินตนาการ และเพิ่มความสุขอย่างสม่ำเสมอ

3.   เพิ่ม ความรัก ความใส่ใจ และเวลาคุณภาพของครอบครัว โดยการส่งเสริมให้พ่อแม่ ผู้ปกครองใช้เวลากับลูกอย่างมีคุณภาพ มีความรู้และทักษะที่จะ “เล่นเป็นกอดเป็น คุยเป็น ฟังเป็น เล่าเป็น”

ทั้งนี้ การเห็นชอบนโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” เนื่องจากที่ผ่านมาสภาวะวิกฤตจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยต้องหยุดทำการ และเด็กจำเป็นต้องอาศัยอยู่บ้านกับพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง แต่ผู้ปกครองไม่มีความพร้อมและไม่สามารถดูแลบุตรหลานได้ตลอด 24 ชม. ประกอบกับพบว่าระยะเวลาการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ของเด็กสูงขึ้นทุกปี ส่งผลให้เด็กปฐมวัยอยู่ในสภาวะวิกฤตจากการใช้สื่อหน้าจอที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ สภาวะวิกฤตจากความเหลื่อมล้ำในไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า ไทยประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยสูงขึ้น โดยการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาของเด็กอายุ 3-5 ปี ในปี 2562-2564 ลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งสภาวะวิกฤตทางสังคม ครอบครัว จากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในไทย เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2566 พบว่า ร้อยละ 17 ของหญิงอายุระหว่าง 20-24 ปี มีการสมรสก่อนอายุ 18 ปี ร้อยละ 25 ของเด็กอายุไม่เกิน 17 ปี ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อและแม่ เนื่องจากพ่อแม่มักย้ายถิ่นฐานเพื่อไปประกอบอาชีพ ร้อยละ 71 ของเด็ก 0-17 ปี อาศัยอยู่กับปู่ ย่า ตา และยาย เป็นต้น

 

ดังนั้น จากสภาวะวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จึงส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมกับเด็กปฐมวัย เช่น พัฒนาการของเด็กปฐมวัยหยุดชะงัก เกิดภาวะการเรียนรู้ถดถอยอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง การที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแผนส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในครั้งนี้ จะทำให้เกิดการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยทั้งระบบอย่างจริงจังต่อเนื่อง เป็นรูปธรรม ชัดเจน และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งผลให้เด็กปฐมวัยได้รับการฟื้นฟูและส่งเสริมพัฒนาการที่ดีรอบด้าน เกิดทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต. 

 

ที่มา ; ศธ.360 องศา 28 มี.ค. 2025

เกี่ยวข้องกัน

ศธ. เดินหน้ายกระดับการศึกษา – ครม. เห็นชอบ “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” เป็นวาระแห่งชาติ 

เมื่อวันที่ 2 เมษายน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมประสานภารกิจของผู้บริหารศธ.ว่า ที่ประชุมได้รายงานการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากล โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รายงานความก้าวหน้าการอบรมสร้างและพัฒนาข้อสอบวัดความฉลาดรู้ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ในระดับเขตพื้นที่ จำนวน 245 เขตพื้นที่ 78 ห้องเรียน มีกลุ่มเป้าหมาย จำนวนทั้งสิ้น 445,624 คน ลงทะเบียนแล้วจำนวน 404,679 คน อบรมแล้วเสร็จ จำนวน 305,502 คน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เข้าอบรมสามารถทำการต่อยอดความรู้และมีทักษะในการสร้างและพัฒนาข้อสอบ 

ทั้งนี้ศธ.จะจัดกิจกรรม ‘เพิ่มพูน’ สมรรถนะความฉลาดรู้ โดยจะเริ่มระยะที่ 1 ในช่วงเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2568 และระยะที่ 2 ในช่วงเดือน พฤศจิกายน 2568 – กุมภาพันธ์ 2569 ซึ่งจะเป็นการจัดการสอนวิชาการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ในรูปแบบของนโยบาย เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา หรือ Anywhere Anytime ทางออนไลน์ ผ่านช่องทาง OBEC Channel : OBEC TV , Facebook, YouTube โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาวิทยากรเพื่อให้ทันต่อการสอนในเดือนพฤษภาคม 2568”พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าว 

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวต่อว่า ในส่วนของการติดตามงบประมาณที่ประชุมยังได้รายงานภาพรวมผลการเบิกจ่าย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 จำนวน 52.41 เปอร์เซ็นต์ โดยเป็นส่วนของงบลงทุน 21.28 เปอร์เซ็นต์ ภาพรวมผลการใช้จ่าย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 จำนวน 54.04 เปอร์เซ็นต์ โดยเป็นส่วนของงบลงทุน 54.61 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่วนตัวมองว่ายังไม่เป็นที่น่าพึงพอใจจึงขอให้ดำเนินการติดตามผลการเบิกจ่ายและการใช้จ่าย ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน 

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ได้มีการรายงานมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเรื่องข้อเสนอเชิงนโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต เป็นวาระแห่งชาติ ตามที่ คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย เสนอ ครม. โดยเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต เป็นวาระแห่งชาติ รวมไปถึงเห็นชอบให้ ศธ. กระทรวงมหาดไท (มท.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และหน่วยงานอื่นของรัฐหรือเอกชน ที่มีสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบาย “3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต ด้วยโครงการ/กิจกรรมของหน่วยงานอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน

พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าวต่อว่า มติครม.ยังได้อนุมัติโครงการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี “ครัวโรงเรียน สู่ ครัวบ้าน” (ทุนการศึกษา “วรเกษตรเมธี”) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 – 2572 รวมไปถึงอนุมัติการปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลาม ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

ทั้งนี้ครม.ได้ให้ความเห็นชอบแผนการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2566 – 2570) และเห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องนำแผนการจัดการศึกษา สำหรับคนพิการ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2566 – 2570) ไปใช้ในการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับคนพิการ รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับภาคเอกชนต่อไป”พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าว 

ที่มา ; มติชนออนไลน์ วันที่ 2 เมษายน 2568