บิลเกตส์ (Bill Gates) มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ “The Tonight Show” เผยถึงความก้าวหน้าของยุคปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า โลกของเราจะถูกแทนที่ด้วย AI หมอ-ครูยังไม่รอด
ตามรายงานของสื่อต่างประเทศ เกตส์เรียกยุคใหม่นี้ว่า “ปัญญาเสรี” เขาเชื่อว่า ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี AI จะเข้าถึงทุกแง่มุมของชีวิต ตั้งแต่ยารักษาโรคการวินิจฉัยขั้นสูงไปจนถึงผู้สอน โดยทุกคนจะใช้ AI เป็นเสมือนผู้ช่วยกันอย่างแพร่หลาย
เกตส์เน้นย้ำว่าผลกระทบของ AI นั้นน่ากลัวเล็กน้อย เพราะมันไม่มีขีดจำกัดสูงสุด ครั้งหนึ่งเขาเคยขอให้ OpenAI สร้างแบบจำลองที่จะได้คะแนนสูงสุดในการสอบชีววิทยา AP ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งในความเป็นจริงหากคาดว่าจะใช้เวลา 2-3 จึงจะเสร็จ แต่เอไอสามารถทำเสร็จได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
สำหรับครูผู้สอน AI สามารถเข้าใจแนวทางการสอนและแรงจูงใจ สอนบทเรียน วัดการมีส่วนร่วมของนักเรียนระบุปัญหาการเรียนรู้ และปรับเปลี่ยนได้ทันที ส่วนด้านสุขภาพAI สามารถสังเคราะห์วรรณกรรมทางการแพทย์และประวัติทางการแพทย์จำนวนมหาศาล เพื่อให้การวินิจฉัยแม่นยำและครอบคลุมกว่ามนุษย์
แม้ว่าความก้าวหน้าของ AI จะท้าทายอาชีพต่างๆ มากมาย แต่บิล เกตส์ยังชี้ให้เห็นว่า งาน 3 ประเภทที่ไม่มีวันถูกแทนที่ด้วย AI
1.โปรแกรมเมอร์: เปรียบเสมือนสถาปนิกของ AI แม้ว่า AI จะมีความก้าวหน้าอย่างมากในการสร้างโค้ด แต่ก็ยังขาดความแม่นยำและความสามารถในการแก้ปัญหาที่จำเป็นในการสร้างซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน อาชีพนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในการดีบัก ปรับปรุง และพัฒนา AI ต่อไป
2.ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน: ภาคพลังงานไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน พลังงานนิวเคลียร์ หรือพลังงานหมุนเวียน นั้นมีขนาดใหญ่และซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะจัดการเพียงลำพัง “แม้ว่า AI จะช่วยในการวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพได้ แต่ความเชี่ยวชาญของมนุษย์ก็มีความจำเป็นในการตัดสินใจและการจัดการวิกฤต”
3.นักชีววิทยา: โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาการวิจัยทางการแพทย์และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ สัญชาตญาณ และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่ง AI ยากที่จะเลียนแบบหรือทดแทนได้
‘บิล เกตส์’ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ ทำนาย AI เข้ามาแทนที่มนุษย์ใน 10 ปี เหลือแค่ 3 อาชีพ หมอ-ครูยังไม่รอด
ที่มา ; ข่าวสดออนไลน์
เกี่ยวข้องกัน
เผย 10 อาชีพเสี่ยงถูกเลิกจ้าง-ตกงานมากสุด ปี 2025 ในยุค AI เข้ามาแทนที่
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำ ส่งผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งต่างปลดพนักงาน เพื่อปรับโครงสร้างให้ธุรกิจได้เดินหน้ากันต่อไปได้ ซึ่งในยุดที่การเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) AI กำลังเข้ามาแทนที่การทำงานในบางสายงานในอนาคต
ล่าสุดตามข้อมูลของ “คีแรน กิลเมอร์เรย์” (Kieran Gilmurray) ผู้อำนวยการ AI สร้างสรรค์ (Creative AI Director) คนแรกของโลก และได้รับรางวัลระดับโลกมากถึง 10 ครั้ง เผยถึง 10 อาชีพมีโอกาสเสี่ยงตกงานมากที่สุด ดังนี้
1.พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูล จากรายงานของ McKinsey Global Institute พบว่าเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถจัดการงานประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติได้ถึง 69%
2.เจ้าหน้าที่บริการลูกค้า แม้ว่าการโต้ตอบระหว่างมนุษย์ยังมีคุณค่าในการบริการลูกค้า แต่แชทบอทและผู้ช่วยเสมือนที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังเข้ามาแทนที่ การศึกษาวิจัยของ Gartner คาดการณ์ว่าภายในปี 2025 การโต้ตอบด้านบริการลูกค้า 95% จะดำเนินการโดย AI
3.พนักงานผลิตและประกอบ คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 งานการผลิตทั่วโลกมากถึง 20 ล้านตำแหน่งอาจถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์
4.อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ มีการประเมินว่า รถยนต์ไร้คนขับอาจเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานขับรถบรรทุกระยะไกลได้ถึง 294,000 ตำแหน่งในสหรัฐเพียงประเทศเดียว
5.พนักงานขาย ตามข้อมูลของสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งอังกฤษ พบว่างานด้านการค้าปลีกในสหราชอาณาจักรหายไป 12% นับตั้งแต่ปี 2008
6.นักวิเคราะห์วิจัยการตลาด AI สามารถประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และค่อนข้างมีความแม่นยำ อย่างไรก็ตาม การพัฒนากลยุทธ์ยังคงต้องอาศัยไหวพริบของมนุษย์
7.บรรณาธิการและนักแปล การประมวลของ AI มีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่ในด้านเนื้อหาที่เฉพาะ หรือมีความละเอียดอ่อนยังต้องใช้ความเชี่ยวชาญของมนุษย์
8.นักรังสีวิทยาและช่างเทคนิคการวินิจฉัย การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน The Lancet Digital Health พบว่า AI สามารถตรวจจับโรคในภาพทางการแพทย์ด้วยความแม่นยำในระดับเดียวกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์
9.นักวิเคราะห์การเงิน รายงานของคณะกรรมการเสถียรภาพทางการเงินพบว่างานด้านการธนาคารในสหราชอาณาจักร 28% มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ
10.นักบัญชีและเจ้าหน้าที่บัญชี ประมาณร้อยละ 25.4 มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบ AI
ที่มา ; ข่าวสดออนไลน์
เกี่ยวข้องกัน
บิล เกตส์ เผย AI รุกคืบอาชีพ ‘ครู-แพทย์’ คนเกษียณเร็วขึ้น ทำงานน้อยลง
บิล เกตส์ (Bill Gates) ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ ได้กล่าวถึงผลกระทบของเอไอที่จะมีต่ออาชีพครูและแพทย์ โดยเป็นอาชีพที่เราเคยคิดว่าปลอดภัยจากการถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี
ในรายการพอดแคสต์ People by WTF มหาเศรษฐีผู้นี้อธิบายว่า เอไอจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากร ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานานทั่วโลก เขายกตัวอย่างว่า ประเทศต่างๆ ทั้งอินเดีย แอฟริกา และแม้แต่สหรัฐ กำลังประสบปัญหาขาดแคลนแพทย์อย่างรุนแรง
ข้อมูลจาก สมาคมวิทยาลัยแพทย์อเมริกัน (Association of American Medical Colleges) ระบุว่า สหรัฐอาจขาดแคลนแพทย์ถึง 86,000 คนภายในปี 2579 โดยเฉพาะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ
ไมเคิล ดิลล์ (Michael Dill) ผู้อำนวยการฝ่ายศึกษาด้านแรงงานของสมาคมวิทยาลัยแพทย์อเมริกัน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Business Insider ว่า ต้องการแพทย์อีกหลายแสนคนเพื่อให้บริการได้อย่างทั่วถึง ทั้งสำหรับคนกลุ่มน้อย คนไม่มีประกัน และคนในชนบท นอกจากนี้ ปัญหายังเพิ่มขึ้นเมื่อจำนวนแพทย์ด้านผู้สูงอายุกลับลดลง ในขณะที่ประชากรสูงวัยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้คุณภาพการรักษาพยาบาลแย่ลงในอนาคต
สำหรับวงการแพทย์ เอไอจะเข้ามาช่วยในหลายด้าน ทั้งการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำขึ้น การจัดการงานเอกสารและบิลลิ่งอัตโนมัติ รวมถึงการคัดกรองผู้ป่วยสำหรับการรักษาแบบใหม่ๆ สตาร์ตอัปหลายแห่งกำลังพัฒนาระบบเอไอเพื่อลดภาระงานของแพทย์ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในวงการแพทย์และเภสัชกรรมได้ถึง 370,000 ล้านดอลลาร์
ในด้านการศึกษา สถานการณ์ก็คล้ายกัน โรงเรียนรัฐบาลในสหรัฐประมาณ 86% รายงานว่ามีปัญหาการขาดแคลนครูในปี 2566 - 2567 ขณะที่ในอังกฤษ มีโรงเรียนมัธยมเริ่มทดลองใช้ ChatGPT สอนนักเรียนแทนครูที่เป็นมนุษย์ในบางวิชา
ตัวอย่างเช่น โครงการนำร่องที่วิทยาลัย David Game ในลอนดอน มีนักเรียน 20 คน ใช้เอไอเรียนวิชาหลักอย่างภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ชีววิทยา และคอมพิวเตอร์ เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม แม้จะมีข้อกังวลเกี่ยวกับการโกง แต่ครูหลายคนมองว่า เอไอจะช่วยประหยัดเวลาและปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดแคลนครู
ถ้าหากเอไอมาทำงานพวกนี้หมด มนุษย์จะเหลืออะไรทำ? — เกตส์ไม่ได้พูดถึงแค่ครูและหมอเท่านั้น เขายังบอกอีกว่า เอไอกำลังมาแทนที่คนงานโรงงาน คนงานก่อสร้าง และแม่บ้านโรงแรม หรือใครก็ตามที่ทำงานที่ต้องใช้ทักษะทางร่างกายและเวลา
บริษัทเทคโนโลยีอย่างอินวิเดียกำลังลงทุนอย่างหนักกับหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ หรือ “ฮิวแมนนอยด์” (humanoid) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานเหล่านี้โดยเฉพาะ ตั้งแต่การหยิบของในคลังสินค้าไปจนถึงการขัดพื้น หุ่นยนต์พวกนี้มีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
เกตส์มองว่า เมื่อเอไอสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้มากขึ้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีชีวิตการทำงาน โดยคนอาจสามารถเกษียณได้เร็วขึ้นกว่าปัจจุบันที่ต้องทำงานจนอายุ 60-65 ปี ทำงานน้อยวันลง อาจจะเป็นสัปดาห์ละ 3-4 วันแทนที่จะเป็น 5-6 วันเหมือนปัจจุบัน และมีเวลาว่างมากขึ้นและต้องหาสิ่งอื่นทำแทนการทำงาน
“เอไออาจทำให้มนุษย์ทำงานน้อยลง อาจเกษียณเร็วขึ้น หรือทำงานสัปดาห์ละไม่กี่วัน” เกตส์กล่าว
ในปี 2473 นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) เคยทำนายไว้ว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะช่วยลดชั่วโมงการทำงานของมนุษย์ลงเหลือเพียงสัปดาห์ละ 15 ชั่วโมงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เกือบหนึ่งศตวรรษผ่านไป แม้ว่าประสิทธิภาพการผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล คนส่วนใหญ่ก็ยังคงทำงานประมาณ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เหมือนเดิม ซึ่งห่างไกลจากคำทำนายของเคนส์มาก
บิล เกตส์ ได้แสดงมุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยกล่าวว่า “ผมไม่จำเป็นต้องทำงาน แต่ที่ผมเลือกจะทำงาน เพราะอะไรหรือ? เพราะมันสนุก”
คำพูดของเกตส์แสดงให้เห็นความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับงาน ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการผลิตหรือรายได้เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ ความหมาย และการบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคล สำหรับคนที่มีฐานะมั่นคงอย่างเกตส์ การทำงานไม่ใช่เพื่อความอยู่รอด แต่เป็นเรื่องของความพึงพอใจส่วนตัว
ประเด็นสำคัญที่เกตส์ยกขึ้นมาคือเรื่องของ “ปรัชญาการใช้เวลา” เขาเชื่อว่าสังคมจะต้องคิดใหม่ว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร เมื่อการทำงานไม่ใช่กิจกรรมหลักของชีวิตอีกต่อไป “อะไรคือความหมายของชีวิตมนุษย์หากไม่ได้ถูกกำหนดด้วยการทำงาน?”
เกตส์ยอมรับว่าแม้แต่ตัวเขาเองที่มีอายุเกือบ 70 ปี ก็ยังปรับความคิดได้ยาก เพราะโตมาในยุคที่โลกมีทรัพยากรจำกัด มีความขาดแคลนสินค้าและบริการ ซึ่งทำให้การทำงานเป็นสิ่งจำเป็น เรามีค่านิยมว่าทุกคนต้องทำงานเพื่อสร้างผลผลิตให้เพียงพอกับความต้องการของสังคม การจะเปลี่ยนกรอบความคิดจากโลกที่ “ขาดแคลน” ไปสู่โลกที่ “เหลือเฟือ” จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย
ดังนั้น แม้ว่าเอไออาจทำให้เราทำงานน้อยลงในอนาคต แต่คำถามสำคัญคือ เราจะใช้เวลาที่เพิ่มขึ้นนั้นอย่างไรให้มีความหมายและมีความสุข และคนที่ไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพแล้ว จะยังเลือกทำงานด้วยเหตุผลอื่นหรือไม่ เช่นเดียวกับที่ บิล เกตส์ ทำ?
อนาคตแรงงานในยุคเอไอ: ‘บิล เกตส์’ เผย เอไอมีบทบาทกับอาชีพครูและแพทย์มากขึ้น ต่อไปจะมีบทบาทกับอาชีพอื่นอีกเรื่อยๆ มนุษย์เตรียมเกษียณเร็วกว่าเดิม และทำงานน้อยลง
แหล่งอ้างอิง: Business Insider
ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ 17 เม.ย. 2025