
บิลเกตส์ (Bill Gates) มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ “The Tonight Show” เผยถึงความก้าวหน้าของยุคปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า โลกของเราจะถูกแทนที่ด้วย AI หมอ-ครูยังไม่รอด
ตามรายงานของสื่อต่างประเทศ เกตส์เรียกยุคใหม่นี้ว่า “ปัญญาเสรี” เขาเชื่อว่า ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี AI จะเข้าถึงทุกแง่มุมของชีวิต ตั้งแต่ยารักษาโรคการวินิจฉัยขั้นสูงไปจนถึงผู้สอน โดยทุกคนจะใช้ AI เป็นเสมือนผู้ช่วยกันอย่างแพร่หลาย
เกตส์เน้นย้ำว่าผลกระทบของ AI นั้นน่ากลัวเล็กน้อย เพราะมันไม่มีขีดจำกัดสูงสุด ครั้งหนึ่งเขาเคยขอให้ OpenAI สร้างแบบจำลองที่จะได้คะแนนสูงสุดในการสอบชีววิทยา AP ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งในความเป็นจริงหากคาดว่าจะใช้เวลา 2-3 จึงจะเสร็จ แต่เอไอสามารถทำเสร็จได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
สำหรับครูผู้สอน AI สามารถเข้าใจแนวทางการสอนและแรงจูงใจ สอนบทเรียน วัดการมีส่วนร่วมของนักเรียนระบุปัญหาการเรียนรู้ และปรับเปลี่ยนได้ทันที ส่วนด้านสุขภาพAI สามารถสังเคราะห์วรรณกรรมทางการแพทย์และประวัติทางการแพทย์จำนวนมหาศาล เพื่อให้การวินิจฉัยแม่นยำและครอบคลุมกว่ามนุษย์
แม้ว่าความก้าวหน้าของ AI จะท้าทายอาชีพต่างๆ มากมาย แต่บิล เกตส์ยังชี้ให้เห็นว่า งาน 3 ประเภทที่ไม่มีวันถูกแทนที่ด้วย AI
1.โปรแกรมเมอร์: เปรียบเสมือนสถาปนิกของ AI แม้ว่า AI จะมีความก้าวหน้าอย่างมากในการสร้างโค้ด แต่ก็ยังขาดความแม่นยำและความสามารถในการแก้ปัญหาที่จำเป็นในการสร้างซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน อาชีพนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในการดีบัก ปรับปรุง และพัฒนา AI ต่อไป
2.ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน: ภาคพลังงานไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน พลังงานนิวเคลียร์ หรือพลังงานหมุนเวียน นั้นมีขนาดใหญ่และซับซ้อนเกินกว่าที่ AI จะจัดการเพียงลำพัง “แม้ว่า AI จะช่วยในการวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพได้ แต่ความเชี่ยวชาญของมนุษย์ก็มีความจำเป็นในการตัดสินใจและการจัดการวิกฤต”
3.นักชีววิทยา: โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาการวิจัยทางการแพทย์และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ สัญชาตญาณ และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่ง AI ยากที่จะเลียนแบบหรือทดแทนได้
‘บิล เกตส์’ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ ทำนาย AI เข้ามาแทนที่มนุษย์ใน 10 ปี เหลือแค่ 3 อาชีพ หมอ-ครูยังไม่รอด
ที่มา ; ข่าวสดออนไลน์
เกี่ยวข้องกัน
เผย 10 อาชีพเสี่ยงถูกเลิกจ้าง-ตกงานมากสุด ปี 2025 ในยุค AI เข้ามาแทนที่
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำ ส่งผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งต่างปลดพนักงาน เพื่อปรับโครงสร้างให้ธุรกิจได้เดินหน้ากันต่อไปได้ ซึ่งในยุดที่การเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) AI กำลังเข้ามาแทนที่การทำงานในบางสายงานในอนาคต
ล่าสุดตามข้อมูลของ “คีแรน กิลเมอร์เรย์” (Kieran Gilmurray) ผู้อำนวยการ AI สร้างสรรค์ (Creative AI Director) คนแรกของโลก และได้รับรางวัลระดับโลกมากถึง 10 ครั้ง เผยถึง 10 อาชีพมีโอกาสเสี่ยงตกงานมากที่สุด ดังนี้
1.พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูล จากรายงานของ McKinsey Global Institute พบว่าเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถจัดการงานประมวลผลข้อมูลอัตโนมัติได้ถึง 69%
2.เจ้าหน้าที่บริการลูกค้า แม้ว่าการโต้ตอบระหว่างมนุษย์ยังมีคุณค่าในการบริการลูกค้า แต่แชทบอทและผู้ช่วยเสมือนที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังเข้ามาแทนที่ การศึกษาวิจัยของ Gartner คาดการณ์ว่าภายในปี 2025 การโต้ตอบด้านบริการลูกค้า 95% จะดำเนินการโดย AI
3.พนักงานผลิตและประกอบ คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 งานการผลิตทั่วโลกมากถึง 20 ล้านตำแหน่งอาจถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์
4.อุตสาหกรรมการขนส่งและโลจิสติกส์ มีการประเมินว่า รถยนต์ไร้คนขับอาจเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานขับรถบรรทุกระยะไกลได้ถึง 294,000 ตำแหน่งในสหรัฐเพียงประเทศเดียว
5.พนักงานขาย ตามข้อมูลของสมาคมผู้ค้าปลีกแห่งอังกฤษ พบว่างานด้านการค้าปลีกในสหราชอาณาจักรหายไป 12% นับตั้งแต่ปี 2008
6.นักวิเคราะห์วิจัยการตลาด AI สามารถประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และค่อนข้างมีความแม่นยำ อย่างไรก็ตาม การพัฒนากลยุทธ์ยังคงต้องอาศัยไหวพริบของมนุษย์
7.บรรณาธิการและนักแปล การประมวลของ AI มีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่ในด้านเนื้อหาที่เฉพาะ หรือมีความละเอียดอ่อนยังต้องใช้ความเชี่ยวชาญของมนุษย์
8.นักรังสีวิทยาและช่างเทคนิคการวินิจฉัย การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน The Lancet Digital Health พบว่า AI สามารถตรวจจับโรคในภาพทางการแพทย์ด้วยความแม่นยำในระดับเดียวกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์
9.นักวิเคราะห์การเงิน รายงานของคณะกรรมการเสถียรภาพทางการเงินพบว่างานด้านการธนาคารในสหราชอาณาจักร 28% มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ
10.นักบัญชีและเจ้าหน้าที่บัญชี ประมาณร้อยละ 25.4 มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบ AI
ที่มา ; ข่าวสดออนไลน์
เกี่ยวข้องกัน
บิล เกตส์ เผย AI รุกคืบอาชีพ ‘ครู-แพทย์’ คนเกษียณเร็วขึ้น ทำงานน้อยลง
บิล เกตส์ (Bill Gates) ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ ได้กล่าวถึงผลกระทบของเอไอที่จะมีต่ออาชีพครูและแพทย์ โดยเป็นอาชีพที่เราเคยคิดว่าปลอดภัยจากการถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี
ในรายการพอดแคสต์ People by WTF มหาเศรษฐีผู้นี้อธิบายว่า เอไอจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากร ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานานทั่วโลก เขายกตัวอย่างว่า ประเทศต่างๆ ทั้งอินเดีย แอฟริกา และแม้แต่สหรัฐ กำลังประสบปัญหาขาดแคลนแพทย์อย่างรุนแรง
ข้อมูลจาก สมาคมวิทยาลัยแพทย์อเมริกัน (Association of American Medical Colleges) ระบุว่า สหรัฐอาจขาดแคลนแพทย์ถึง 86,000 คนภายในปี 2579 โดยเฉพาะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ
ไมเคิล ดิลล์ (Michael Dill) ผู้อำนวยการฝ่ายศึกษาด้านแรงงานของสมาคมวิทยาลัยแพทย์อเมริกัน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Business Insider ว่า ต้องการแพทย์อีกหลายแสนคนเพื่อให้บริการได้อย่างทั่วถึง ทั้งสำหรับคนกลุ่มน้อย คนไม่มีประกัน และคนในชนบท นอกจากนี้ ปัญหายังเพิ่มขึ้นเมื่อจำนวนแพทย์ด้านผู้สูงอายุกลับลดลง ในขณะที่ประชากรสูงวัยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้คุณภาพการรักษาพยาบาลแย่ลงในอนาคต
สำหรับวงการแพทย์ เอไอจะเข้ามาช่วยในหลายด้าน ทั้งการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำขึ้น การจัดการงานเอกสารและบิลลิ่งอัตโนมัติ รวมถึงการคัดกรองผู้ป่วยสำหรับการรักษาแบบใหม่ๆ สตาร์ตอัปหลายแห่งกำลังพัฒนาระบบเอไอเพื่อลดภาระงานของแพทย์ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในวงการแพทย์และเภสัชกรรมได้ถึง 370,000 ล้านดอลลาร์
ในด้านการศึกษา สถานการณ์ก็คล้ายกัน โรงเรียนรัฐบาลในสหรัฐประมาณ 86% รายงานว่ามีปัญหาการขาดแคลนครูในปี 2566 - 2567 ขณะที่ในอังกฤษ มีโรงเรียนมัธยมเริ่มทดลองใช้ ChatGPT สอนนักเรียนแทนครูที่เป็นมนุษย์ในบางวิชา
ตัวอย่างเช่น โครงการนำร่องที่วิทยาลัย David Game ในลอนดอน มีนักเรียน 20 คน ใช้เอไอเรียนวิชาหลักอย่างภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ชีววิทยา และคอมพิวเตอร์ เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม แม้จะมีข้อกังวลเกี่ยวกับการโกง แต่ครูหลายคนมองว่า เอไอจะช่วยประหยัดเวลาและปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดแคลนครู
ถ้าหากเอไอมาทำงานพวกนี้หมด มนุษย์จะเหลืออะไรทำ? — เกตส์ไม่ได้พูดถึงแค่ครูและหมอเท่านั้น เขายังบอกอีกว่า เอไอกำลังมาแทนที่คนงานโรงงาน คนงานก่อสร้าง และแม่บ้านโรงแรม หรือใครก็ตามที่ทำงานที่ต้องใช้ทักษะทางร่างกายและเวลา
บริษัทเทคโนโลยีอย่างอินวิเดียกำลังลงทุนอย่างหนักกับหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ หรือ “ฮิวแมนนอยด์” (humanoid) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานเหล่านี้โดยเฉพาะ ตั้งแต่การหยิบของในคลังสินค้าไปจนถึงการขัดพื้น หุ่นยนต์พวกนี้มีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
เกตส์มองว่า เมื่อเอไอสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้มากขึ้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีชีวิตการทำงาน โดยคนอาจสามารถเกษียณได้เร็วขึ้นกว่าปัจจุบันที่ต้องทำงานจนอายุ 60-65 ปี ทำงานน้อยวันลง อาจจะเป็นสัปดาห์ละ 3-4 วันแทนที่จะเป็น 5-6 วันเหมือนปัจจุบัน และมีเวลาว่างมากขึ้นและต้องหาสิ่งอื่นทำแทนการทำงาน
“เอไออาจทำให้มนุษย์ทำงานน้อยลง อาจเกษียณเร็วขึ้น หรือทำงานสัปดาห์ละไม่กี่วัน” เกตส์กล่าว
ในปี 2473 นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) เคยทำนายไว้ว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะช่วยลดชั่วโมงการทำงานของมนุษย์ลงเหลือเพียงสัปดาห์ละ 15 ชั่วโมงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เกือบหนึ่งศตวรรษผ่านไป แม้ว่าประสิทธิภาพการผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล คนส่วนใหญ่ก็ยังคงทำงานประมาณ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เหมือนเดิม ซึ่งห่างไกลจากคำทำนายของเคนส์มาก
บิล เกตส์ ได้แสดงมุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยกล่าวว่า “ผมไม่จำเป็นต้องทำงาน แต่ที่ผมเลือกจะทำงาน เพราะอะไรหรือ? เพราะมันสนุก”
คำพูดของเกตส์แสดงให้เห็นความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับงาน ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการผลิตหรือรายได้เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ ความหมาย และการบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคล สำหรับคนที่มีฐานะมั่นคงอย่างเกตส์ การทำงานไม่ใช่เพื่อความอยู่รอด แต่เป็นเรื่องของความพึงพอใจส่วนตัว
ประเด็นสำคัญที่เกตส์ยกขึ้นมาคือเรื่องของ “ปรัชญาการใช้เวลา” เขาเชื่อว่าสังคมจะต้องคิดใหม่ว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร เมื่อการทำงานไม่ใช่กิจกรรมหลักของชีวิตอีกต่อไป “อะไรคือความหมายของชีวิตมนุษย์หากไม่ได้ถูกกำหนดด้วยการทำงาน?”
เกตส์ยอมรับว่าแม้แต่ตัวเขาเองที่มีอายุเกือบ 70 ปี ก็ยังปรับความคิดได้ยาก เพราะโตมาในยุคที่โลกมีทรัพยากรจำกัด มีความขาดแคลนสินค้าและบริการ ซึ่งทำให้การทำงานเป็นสิ่งจำเป็น เรามีค่านิยมว่าทุกคนต้องทำงานเพื่อสร้างผลผลิตให้เพียงพอกับความต้องการของสังคม การจะเปลี่ยนกรอบความคิดจากโลกที่ “ขาดแคลน” ไปสู่โลกที่ “เหลือเฟือ” จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย
ดังนั้น แม้ว่าเอไออาจทำให้เราทำงานน้อยลงในอนาคต แต่คำถามสำคัญคือ เราจะใช้เวลาที่เพิ่มขึ้นนั้นอย่างไรให้มีความหมายและมีความสุข และคนที่ไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพแล้ว จะยังเลือกทำงานด้วยเหตุผลอื่นหรือไม่ เช่นเดียวกับที่ บิล เกตส์ ทำ?
อนาคตแรงงานในยุคเอไอ: ‘บิล เกตส์’ เผย เอไอมีบทบาทกับอาชีพครูและแพทย์มากขึ้น ต่อไปจะมีบทบาทกับอาชีพอื่นอีกเรื่อยๆ มนุษย์เตรียมเกษียณเร็วกว่าเดิม และทำงานน้อยลง
แหล่งอ้างอิง: Business Insider
ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ 17 เม.ย. 2025
เกี่ยวข้องกัน
อาชีพไม่เสี่ยงโดน AI แย่งงาน แถมยังเติบโตสูงภายในปี 2032
แม้เทคโนโลยี AI จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และหลายบริษัทเริ่มลงทุนใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงาน และมันอาจเข้ามาทดแทนงานบางอย่างได้ แต่ยังมีหลายอาชีพที่ปลอดภัยจากการถูก AI เข้ามาแทนที่ เพราะต้องใช้ทักษะมนุษย์ที่หุ่นยนต์ไม่สามารถเรียนรู้ได้ง่ายๆ เช่น ทักษะความเห็นอกเห็นใจ การคิดเชิงวิเคราะห์ และความคิดสร้างสรรค์
กรุงเทพธุรกิจ ชวนย้อนดูรายงาน Top 65 Jobs Safest from AI & Robot Automation จาก US Career Institute อีกครั้งที่เคยเผยแพร่ออกมาให้ทราบเมื่อปี 2023 แต่อาชีพเหล่านี้ถูกวิเคราะห์จากแหล่งข้อมูลหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานสถิติแรงงานแห่งสหรัฐอเมริกา, Salary.com และ แพลตฟอร์มคำนวณจาก WillRobotsTakeMyJob จนในที่สุดพบกลุ่มอาชีพมีความเสี่ยง 0% ที่จะถูก Ai มาทำงานแทน หรือแปลว่าไม่มีความเสี่ยงเลย แถมยังคาดการณ์ว่าจะเติบโตสูงขึ้น (อัตราความต้องการเพิ่มขึ้น) ภายในปี 2032 อีกด้วย
ทั้งนี้ สายงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือไม่มีรูปแบบตายตัว ยังถือว่ามีความเสี่ยงต่ำจากการถูกแทนที่ด้วย AI ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ สายอาชีพด้านการแพทย์ ซึ่งต้องการความยืดหยุ่นสูงในการตัดสินใจ และรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าที่คาดเดาไม่ได้ หากจำแนกออกมาเป็นหมวดหมู่อาชีพในภาพกว้างๆ จะพบว่า กลุ่มอาชีพที่มีความเสี่ยงต่ำ 0% ต่อการถูก AI และระบบอัตโนมัติมาแทนที่ ได้แก่
- ด้านสุขภาพ : พยาบาล แพทย์ นักบำบัด และนักจิตวิทยา
- ด้านการศึกษา : ครู อาจารย์ และผู้บริหารสถานศึกษา
- สายสร้างสรรค์ : นักดนตรี ศิลปิน นักเขียน และนักข่าว
- งานบริการส่วนบุคคล : ช่างทำผม ช่างเสริมสวย เทรนเนอร์ส่วนตัว และโค้ช
10 อาชีพ ‘ไม่ถูก AI แย่งงาน’ แถมเติบโตสูงที่สุดภายในปี 2032
ตามรายงานของ U.S. Career Institute ชี้ว่า อาชีพต่อไปนี้มีความเสี่ยงในการถูกแทนที่ด้วย AI ต่ำมากถึง 0% เพราะต้องใช้ทักษะ ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในระดับที่ AI ยังเอื้อมไม่ถึง โดยในที่นี้ ขอยกเฉพาะ 10 อันดับแรกจาก 65 อาชีพที่ไม่เสี่ยงโดน AI เข้ามาทำงานแทนที่ รวมถึงจัดอันดับตามตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตของอาชีพเหล่านี้ ได้แก่
1. พยาบาลระดับเชี่ยวชาญ (Nurse Practitioners) อัตราเติบโต 45.7%
2. นักออกแบบท่าเต้น (Choreographers) อัตราเติบโต 29.7%
3. ผู้ช่วยแพทย์ (Physician Assistants) อัตราเติบโต 27.6%
4. นักจิตบำบัด/ที่ปรึกษาสุขภาพจิต (Mental Health Counselors) อัตราเติบโต 22.1%
5. อาจารย์พยาบาลในระดับอุดมศึกษา (Nursing Instructors and Teachers, Post-Secondary) อัตราเติบโต 21.5%
6. โค้ช และแมวมอง (Coaches and Scouts) อัตราเติบโต 20%
7. เทรนเนอร์ด้านกีฬา (Athletic Trainers) อัตราเติบโต 17.5%
8. นักกายภาพบำบัด (Physical Therapists) อัตราเติบโต 16.9%
9. นักออกแบบอุปกรณ์เทียม (Orthotists and Prosthetists) อัตราเติบโต 16.8%
10. นักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapists) อัตราเติบโต 13.9%
อาชีพใด 'ปลอดภัยจาก AI' และมีแนวโน้มเติบโตมากที่สุด?
ในบรรดาอาชีพที่รอดพ้นจากการถูกแทนที่ด้วย AI หนึ่งในตำแหน่งที่มีแนวโน้มเติบโตมากที่สุดก็คือ "พยาบาลระดับผู้เชี่ยวชาญสูง" (Nurse Practitioner) ซึ่งคาดว่าจะเติบโตขึ้นถึง 45.7% ภายในปี 2032 ถือว่าเร็วที่สุดในบรรดา 64 อาชีพที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "AI-Proof Jobs" หรือเป็นสายอาชีพที่ปลอดภัยจาก AI นั่นเอง
แม้เส้นทางสู่อาชีพนี้จะต้องใช้เวลาเรียนยาวนาน และเรียนยาก โดยต้องเรียนต่อในระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอกด้านพยาบาลศาสตร์ แต่ก็เป็นอาชีพที่มั่นคง และได้รับค่าตอบแทนสูง โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ประมาณ 120,680 ดอลลาร์ต่อปี (ราวๆ 3,990,000 บาทต่อปี) เหตุผลที่อาชีพนี้ยากต่อการถูกแทนที่ด้วย AI ก็เพราะว่า ต้องอาศัยทักษะการดูแลผู้ป่วย การเจรจาโน้มน้าวใจ และความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่หุ่นยนต์ยังทำไม่ได้
นอกจากพยาบาลผู้เชี่ยวชาญแล้ว ยังมีอีกหลายอาชีพที่คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอีก 10 ปีข้างหน้า เช่น "นักออกแบบท่าเต้น" (Choreographers) คาดว่าจะโตถึง 29.7% ภายในปี 2032 เพราะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะสังคม ซึ่ง AI ยังไม่สามารถทดแทนได้เช่นกัน ขณะที่ "ผู้ช่วยแพทย์" (Physician Assistants) คาดว่าจะเติบโต 27.6% โดยใช้ทักษะที่คล้ายกับพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ ทำให้มีความเสี่ยงต่ำต่อการถูกแทนที่ด้วย AI
ขณะที่อาชีพ "นักจิตบำบัดและนักให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต" เป็นอีกสายงานที่ระบบอัตโนมัติทดแทนไม่ได้ เพราะว่าจำเป็นต้องมีความเข้าใจในอารมณ์ และความรู้สึกของมนุษย์ รวมถึงการสร้างความไว้วางใจ และให้คำแนะนำที่เหมาะกับแต่ละคน ซึ่งเป็นทักษะที่ AI ไม่สามารถเรียนรู้ได้ลึกซึ้งพอ
เปิดอันดับอาชีพที่เหลือ 11 - 65 ความเสี่ยงต่ำต่อ AI
ทั้งนี้ หากอยากทราบอันดับอาชีพที่เหลือ ซึ่งความเสี่ยงต่ำ 0% ที่จะถูก AI แย่งงาน ได้แก่
11.นักบำบัดชีวิตคู่ และครอบครัว 12.นักศิลปะบำบัด 13.นักดนตรีบำบัด 14.นักสังคมฯ ด้านดูแลสุขภาพ 15. นักสังคมฯ ด้านสุขภาพจิต 16. วิศวกรชีวภาพ 17. อาจารย์สอนจิตวิทยา 18. ฟิตเนสและสุขภาพ 19. นักวิทยาศาสตร์ดินและพืช 20. อาจารย์สังคมสงเคราะห์ศาสตร์
21. ครูสอนศิลปะ/การละคร/ดนตรี 22. จิตแพทย์ 23. อาจารย์มานุษยวิทยา 24. นักฟิสิกส์ 25. อาจารย์สอนสถาปัตยกรรมศาสตร์ 26. พยาบาลผดุงครรภ์ 27. เวชกิจฉุกเฉิน 28. ผจก.ฝ่ายรักษาความปลอดภัย 29. วิศวกรโยธา 30. วิศวกรขนส่ง
31. พลศึกษาเพื่อผู้พิการ 32. หน่วยกู้ชีพ 33. พยาบาลคลินิก 34. พยาบาลผู้ป่วยหนัก 35. พยาบาลจิตเวชขั้นสูง 36. ทันตแพทย์ 37. นักออกแบบนิทรรศการ 38. ทันตแพทย์เฉพาะทาง 39. ผู้บริหารการศึกษา 40. ศัลยแพทย์ช่องปาก
41. นักดับเพลิง 42. หัวหน้างานดับเพลิง 43. นักผังเมือง 44. นักบำบัดด้วยกิจกรรม 45. ผู้นำทางศาสนา 46. แพทย์ผิวหนัง 47. นักประสาทวิทยา 48. หัวหน้าตำรวจและนักสืบ 49. นักประสาทจิตวิทยา 50. นักประสาทจิตวิทยาคลินิก
51. ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ 52. สถาปนิก 53. ศัลยแพทย์อื่นๆ 54. ผู้นำจัดการภาวะฉุกเฉิน 55. แพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน 56. แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู 57. แพทย์ประจำโรงพยาบาล 58. แพทย์เวชศาสตร์การกีฬา 59. ศัลยแพทย์เด็ก 60. สูตินรีแพทย์
61. นักออกแบบภายใน 62. ภูมิสถาปนิก 63. พิทักษ์ป่าและสัตว์ป่า 64. ผู้บริหารระดับสูง 65. ผู้ติดตั้งอาคารสำเร็จรูป
ในภาพรวม AI จะเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานอย่างไร?
ในอนาคตอันใกล้นี้ AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงฉากทัศน์การทำงานหลายๆ มิติ แม้มีบางสายงานอาจจะหายไป แต่ก็เกิดสายงานใหม่ขึ้นมาด้วย และเกิดการพัฒนาทักษะมนุษย์ที่จำเป็นท่ามกลางโลกแห่งระบบอัตโนมัติ โดยความเปลี่ยนแปลงแต่ละมิติที่วัยทำงานต้องรู้ มีดังนี้
1. งานบางประเภทจะถูกแทนที่ : งานซ้ำๆ อย่างการกรอกข้อมูล บริการลูกค้า หรือการผลิตในสายพาน มีแนวโน้มสูงที่จะถูก AI แทนที่ และอาจกระทบแรงงานถึง 400-800 ล้านคนภายในปี 2030
2. อีกด้านหนึ่ง งานใหม่ก็จะเกิดขึ้น : การเติบโตของ AI จะสร้างความต้องการใหม่ เช่น นักพัฒนา AI, นักวิเคราะห์ข้อมูล, ผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรมของ AI และผู้ดูแลระบบอัตโนมัติ
3. ทักษะใหม่ๆ จะสำคัญมาก: คนทำงานยุคนี้ต้องเสริมทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การปรับตัว และ EQ ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI ยังทำไม่ได้ดีเท่ามนุษย์
4. ช่องว่างทางเศรษฐกิจอาจขยาย ถ้าไม่เตรียมตัว : หากไม่มีการสนับสนุนให้คนเข้าถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการปรับตัวกับเทคโนโลยี คนบางกลุ่มอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
โดยสรุปก็คือ แม้ AI และระบบอัตโนมัติ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานบางประเภท ซึ่งอาจทำงานบางอย่างแทนคนได้ด้วย จึงเป็นไปได้ที่จะเกิดความเสี่ยงกับแรงงานจำนวนมากที่มีโอกาสถูกแทนที่ในอนาคต ดังนั้น หากอยากสร้างความมั่นคงให้กับอาชีพในระยะยาว ทางเลือกหนึ่งที่ควรพิจารณาคือ เลือกงานที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะตัวของมนุษย์ที่ยากต่อการทำซ้ำด้วยระบบอัตโนมัติ
อีกหนึ่งแนวทางสำคัญคือ การพัฒนาทักษะใหม่ๆ และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถแข่งขันและยืนหยัดในตลาดแรงงานได้ในระยะยาว ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เช่น ทักษะด้านความเข้าใจคน, ความคิดสร้างสรรค์, การตัดสินใจในสถานการณ์ที่ซับซ้อน ฯลฯ เพราะทักษะเหล่านี้ย้ำเตือนว่า “มนุษย์” ก็ยังจำเป็นในโลกการทำงานที่ AI กำลังจะครองเมือง
อ้างอิง: U.S.CareerInstitute, AnalyticsVidhya
ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ 19 พ.ค. 2025
เกี่ยวข้องกัน
‘บิลล์ เกตส์’ ทำนาย 3 อาชีพ อยู่รอด ‘เอไอ’ ไม่สามารถแทนที่ได้
บิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ หนึ่งในผู้นำธุรกิจเทคโนโลยี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้เติบโต ปูทางให้กับแล็ปท็อป โทรศัพท์มือถือ และวิธีการทำงานที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) เข้ามาเปลี่ยนวิถีแบบดั้งเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
ในการสนทนากับหนังสือพิมพ์เดอะ อินเดียน เอ็กซ์เพรส เกตส์ได้แบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ รวมถึง 3 อาชีพที่ตัวเขาคิดว่า จะไม่ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก
ตามรายงานของเว็บไซต์ Marca เกตส์ทำนายว่า บุคคลใน 3 อาชีพ จะอยู่รอดปลอดภัยจากเอไอ ได้แก่ ชีววิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน และโปรแกรมเมอร์
เหตุผล 3 อาชีพอยู่รอด
ตามที่เกตส์กล่าวไว้ นักชีววิทยาเป็นผู้ขับเคลื่อนการพัฒนามนุษย์ และการค้นพบ โดยผ่านกระบวนการสร้างสรรค์และสัญชาตญาณที่ยากต่อความเข้าใจ และปัญญาประดิษฐ์จะทำซ้ำ
แม้ว่า เอไอจะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูล แต่สมองของมนุษย์ก็ยังสามารถตั้งสมมติฐาน และมีความคิดก้าวกระโดด ซึ่งการค้นพบสิ่งแปลกใหม่แต่ละครั้ง ได้ส่งผลให้เกิดการพัฒนาครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่ง ที่ส่งผลต่อมวลมนุษยชาติ
ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและโปรแกรมเมอร์ ก็มีเหตุผลที่คล้ายกัน แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์จะมีความสามารถในการจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังขาดความสามารถที่สมองของมนุษย์มี และทำได้เป็นการเฉพาะ
นี่เป็นเหตุผล ทำให้ผู้คนสามารถสร้างซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนหรือปรับให้เข้ากับความต้องการพลังงานในแต่ละพื้นที่ทั่วโลกได้ โดยเฉพาะการคาดเดาสถานการณ์ยากมากขึ้น
มีงานอื่นอีกไหม ปลอดภัยจาก AI
เกตส์ได้พูดคุยเกี่ยวกับเอไอมีบทบาททางวัฒนธรรมที่โดดเด่นมากขึ้น ซึ่งในการสนทนาระหว่างเกตส์กับจิมมี ฟอลลอนนั้น เกตส์ชี้ว่า นักกีฬาอาจเป็นอาชีพที่ปลอดภัยจากเอไอ
"คุณรู้ไหม เหมือนกับการแข่งขันเบสบอล เราไม่อยากดูคอมพิวเตอร์เล่นเบสบอล" เกตส์เล่าและเสริมว่า "ดังนั้นจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เราเก็บไว้สำหรับตัวเราเอง แต่ในแง่ของการสร้างสรรค์เทคโนโลยี การเคลื่อนย้ายวัตถุ หรือการเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร เมื่อเวลาผ่านไป เอไอจะเข้ามาทำให้สิ่งที่เป็นพื้นฐานเหล่านี้ถูกพัฒนาทำให้ดียิ่งขึ้น
อ้างอิง Hola
“บิลล์ เกตส์” หนึ่งในบุคคลสำคัญทางเทคโนโลยี ทำนาย 3 อาชีพ ยังไงก็อยู่รอด ท่ามกลางการเผชิญหน้าเอไอ ค่อยๆเข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์
ที่มา ; กรุงเทพธุรกิจ 18 พ.ค. 2025
เกี่ยวข้องกัน
โลกหลังปี 2030 กับ AI ที่ใกล้เข้ามาทุกที
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา... ได้พูดคุยกับหลายคนเกี่ยวกับการเข้ามาของ AI ที่มีแนวโน้มจะ disrupt เรามากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เราคิดว่า AI จะมาช่วยให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น เอาเข้าจริง... ในอนาคตอาจจะเป็นการคัดคนออกก็ได้
โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทางประเภท technical skill หรืองานที่ต้องคิด วิเคราะห์ และนำเสนอให้ผู้บริหารรับรู้ รวมถึงตัดสินใจ เพราะด้วยความที่ AI นั้นพิจารณาจากข้อมูลที่นำเข้าไป และประมวลผลด้วยระยะเวลาระดับวินาทีหรือนาทีเท่านั้น ที่สำคัญหลังจากวิเคราะห์แล้ว ยังจัดทำไฟล์นำเสนอได้ด้วย
คำถามคือ “แล้วเราจะปรับตัวหรืออยู่ในระบบนิเวศที่ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซนี้ได้อย่างไร”
ก่อนจะไปหาคำตอบ... ที่กังวลใจที่สุดก็น่าจะเป็น ‘เด็กรุ่นใหม่’ เพราะกว่าจะเรียนและเสริมทักษะเฉพาะทาง ก็ใช้เวลาไม่น้อย พอจบมาแล้วกลับกลายเป็น AI นั้นฉลาดและเร็วกว่า รวมถึงแทบจะไม่ต้องฝึกสอนกันนานเลย ดังนั้นเรามาร่วมค้นหาคำตอบก่อนที่จะถึงปี 2030 (อีกไม่ถึง 5 ปีเต็มที่ทั้งเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์... จะเร็วและน่าทึ่งกว่านี้ รวมถึงถูกลงกว่านี้ด้วย ตามกฎของมัวร์)

เมื่อ AI เก่งกว่าเราในหลายด้าน (ภายในปี 2030) สิ่งที่เราต้องทำก็คือการปรับตัว...
1. เปลี่ยนความคิดจากเดิมที่เราคิดว่าจะ “แข่งขันกับ AI” เป็นหาวิธี “ทำงานร่วมกับ AI” แทน ด้วยความคิดนี้จะทำให้เราหาวิธีใช้ AI ให้ฉลาดกว่าเดิม
AI ตอนนี้ไม่ใช่แค่ผู้ช่วยงานพื้นฐานอีกต่อไป แต่เป็นผู้ช่วย...ที่สามารถ:
• จัดทำสคริปต์ และสร้างวิดีโอให้เสร็จเวลาอันสั้น
• วิเคราะห์เทรนด์ต่างๆ จาก Big Data ภายในไม่กี่นาที
• ออกแบบโลโก้ สร้าง mockup หรือ generate code ได้ในคลิกเดียว
เราต้องปรับตัวอย่างไร:
• จัดวาง AI เป็น “เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งที่มีความเร็วและความแม่นยำ” แต่ยังขาดความเข้าใจเชิงบริบท หรือภาพรวมขององค์กร
• เรียนรู้เครื่องมือ AI ใหม่ๆ เช่น ChatGPT, Notion AI, Figma AI, Runway, Perplexity ฯลฯ
• ทำงานเป็น Hybrid หรือลูกผสม: กำหนดให้ AI ร่างหรือวิเคราะห์รายละเอียดแต่ละส่วน แล้วเราค่อยเติมข้อมูล Insight, ใส่ความเป็นมนุษย์ด้วยท่าทางที่อ่อนโยน แต่มีความเป็นมืออาชีพ เห็นใจและ... ค่อยๆ จัดการกับปัญหาด้วยความเข้าใจ
ตัวอย่างที่ผมคิดว่าจะน่าไปด้วยกันได้กับข้อแรก:
• นักเขียนบทโฆษณา ใช้ AI ช่วย Brainstorm tagline หลายทาง แล้ว... ค่อยๆ เลือกสิ่งที่เหมาะกับแบรนด์และบริษัทตาม concept จริงๆ
• นักวางแผนการเงิน ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ จากรายได้-ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นของลูกค้า เพื่อออกแบบแผนการออมเงิน เมื่อได้รับข้อมูลแล้ว จึงได้เพิ่มเติมคำแนะนำตาม life goal ของลูกค้า
2. โฟกัส “ทักษะที่ AI ยังไม่มี” และเพิ่มเติมทักษะนั้นให้ลึกขึ้น
AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำ เพราะมีอัลกอริทึมที่เก่งมาก แต่... ด้วยความที่เราใส่ข้อมูลด้าน soft skill หรือทักษะที่ AI ยังทำไม่ได้ ทำให้ AI ยังขาดความเข้าใจที่ลึกซึ้งในสิ่งที่อาจจะ ‘ไม่มีคำตอบเดียว’ เช่น ความรัก ความกังวล ศีลธรรม หรือการสร้างแรงบันดาลใจในการมีชีวิต (แต่บางคนก็ชอบพูดคุยกับ AI ในประเด็นเหล่านี้ เพราะ AI ไม่เริ่มต้นตัดสินคน... )
เราต้องพัฒนาทักษะ:
• Systems Thinking: มองเให้ห็นภาพรวมของระบบ ไม่ใช่โฟกัสจุดใดจุดหนึ่ง
• Lateral Thinking: คิดนอกกรอบ ไม่ยึดติดกับวิธีแก้ปัญหาแบบเดิม
• Empathy & Leadership: ’เข้าใจและเห็นใจ‘ เป็นสิ่งที่ AI อาจจะเก่งในการจับความรู้สึกตรงนี้ไม่ได้
ตัวอย่างที่น่าจะพอเสริมได้:
• นักจิตวิทยาที่รู้ว่า “คำตอบที่ดีที่สุด” อาจไม่ใช่สิ่งที่คนไข้ต้องการฟังตอนนั้น จึงใช้วิธีการในแบบที่มนุษย์มอง
• หัวหน้าหรือผู้นำที่เลือกช่วย ‘พนักงาน’ ให้รอดจากภาวะความตึงเครียดในที่ทำงานและทำให้ทีมสามัคคีกัน ควบคู่ไปกับเป้าหมายของบริษัท
3. เรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) “เรียนจบจากมหาวิทยาลัย” ไม่ใช่หมายความว่าเราจะหยุดเรียนรู้ได้ ปี 2030 ทักษะที่เรามีนั้นอาจจะไม่เพียงพอต่อการได้ไปต่อกับ AI
ในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความรู้ที่เราเรียนมาหลายอย่างอาจจะไม่ทันสมัยอีกต่อไป และ AI จะเข้ามาเปลี่ยน Job Description ของหลายอาชีพ โดยไม่รอให้เราพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงก่อน
สิ่งที่เราต้องฝึก:
• AI literacy: เข้าใจว่า AI ทำงานอย่างไร และด้วยระบบงานที่ใช้ AI อยู่มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
• Data Thinking: อ่านและใช้ข้อมูลที่ได้จาก AI เพื่อคิดและเชื่อมโยงภาพที่กว้างขึ้น
• เรียนรู้.. ข้ามสายงาน: เช่น นักบัญชีเรียนทักษะการออกแบบ GUI (graphic user interface) เพื่อเข้าใจการออกแบบประสบการณ์ที่ผู้ใช้งานรู้สึกว่าใช้งานง่าย หรือ user friendly
ตัวอย่างที่ผมพอจะนึกออก:
• เจ้าของร้านอาหารและเครื่องดื่ม เรียนการใช้งานเครื่องมือ AI เพื่อสร้าง content และหาโปรโมทร้านที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงกระตุ้นยอดขายแบบอัตโนมัติทุกสัปดาห์
• นักวางแผนทางการเงิน.. ศึกษาวิธีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าด้วยการใช้งาน AI เป็นพื้นฐาน (ซึ่งจะลดเวลาในส่วนของการวิเคราะห์ลง)
4. ออกแบบตัวเองให้ “Reskill ได้เร็ว” ตำแหน่งงานของเราอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่ “ความสามารถที่แท้จริงของเรา” มีแนวโน้มจะยังใช้ได้อยู่ เพราะงั้นหากเราเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็วและไว การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ จะทำให้เรายังสามารถทำงานในบทบาทใหม่ หรือในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนไปได้
สิ่งที่เราต้องเปลี่ยนความคิดและความเชื่อแบบเดิมๆ:
• ไม่ยึดติดกับงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เช่น “นักบัญชี” หรือ “นักข่าว” แต่... ให้เราเน้นฝึกฝนทักษะที่ใช้ข้ามสายงาน แต่ยังอยู่ในปริมณฑลเดียวกัน เช่น การวิเคราะห์, การเล่าเรื่อง, ความเข้าใจในพฤติกรรมของคน
• ฝึกทักษะใหม่แบบเร็วๆ (Fast Learning) ผ่านคอร์สสั้นๆ / ทดลองใช้งานจริง / ใช้งานร่วมกับ AI อยู่ตลอด
ตัวอย่างที่พอจะนึกออกตอนนี้:
• Prompt Engineer: คนเขียนแนวทางหรือวิธีการให้ AI ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• AI Ethicist: นักออกแบบ ‘จริยธรรม’ ของระบบ AI (เท่าที่ตามอ่านงานต่างประเทศ ส่วนนี้ก็สำคัญเช่นกัน)
• Data Storyteller: นักเล่าเรื่องและนำเสนอข้อมูลให้เข้าใจง่ายและน่าสนใจ...
• Human-AI Interaction Designer: นักออกแบบที่ทำให้ AI สื่อสารและคำนึงถึงความเป็นมนุษย์
5. ให้เราขยับจาก “การทำงานเพื่ออยู่รอด...” ไปสู่ “การทำงานด้วยความหมาย” หมายถึง แม้ว่า AI จะสามารถทำงานทดแทนทักษะที่เรามีได้… แต่... เรายังสามารถสร้างคุณค่าบางอย่างจากงานที่ AI ทำไม่ได้ ประเเ็นสำคัญอยู่ที่คำถามนี้
“งานที่เราทำ จะมีคุณค่าต่อคนอื่นหรือต่อองค์กรอย่างไร“
หากเราพอจะนึกคำตอบออก นั่นหมายความว่ายังมีสิ่งที่ AI ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ — ไม่ว่าจะเป็นความหมายของงาน, พันธกิจต่อสังคม, หรือความเชื่อที่แต่ละคนมีร่วมกัน
สิ่งที่เราควรจะมองหาจากข้อนี้:
• งานที่ “เชื่อมโยงกับมนุษย์” เช่น การให้คำปรึกษา, การสร้างแรงบันดาลใจ รวมถึงการดูแลผู้สูงอายุ
• งานที่ “ต้องหล่อหลอมความหลากหลายเข้าด้วยกัน” เช่น นักวิจัยที่เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ เป็นต้น
ตัวอย่างที่พอจะนึกได้เร็วๆ :
• คุณหมอไม่ได้มีแค่หน้าที่รักษาโรคของผู้ป่วยเท่านั้น แต่... ยังต้องดูแลและให้ความสำคัญกับความหวังของผู้ป่วยที่อยู่ในระยะสุดท้ายด้วย
• นักสื่อสารด้านสังคมที่ไม่ใช่แค่ส่งสารหรือข้อมูลในระะนาบเดียวเท่านั้น แต่ต้อง “เปลี่ยนแปลงจิตใจของคน” ให้ทำสิ่งที่ดีๆ อีกด้วย
สรุปเกี่ยวกับโลกหลังปี 2030 กับ AI ที่ใกล้เข้ามาทุกที:
ส่วนตัวมองว่า ปี 2030 โลกของการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะนักวิเคราะห์อย่างผมที่เคยเก่งกับการจัดการปัญหา และแก้ไขเรื่องต่างๆ ผ่านสูตรการคำนวณที่ต้องเขียนโปรแกรม รวมถึงการใช้ทักษะด้าน IT ที่มี ต้องเผชิญหน้ากับการ disrupt ที่ AI สามารถทำงานด้านนี้ได้ในทันทีที่หัวหน้างาน ‘ขอข้อมูล’
คนที่ “อยู่รอด” คงไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดหรือเก่งกว่า AI แต่เป็น “คนที่เรียนรู้และปรับตัวได้เร็วที่สุด” ต่างหาก
ที่มา ; FB ลาไปอ่านหนังสือ