หากถามเด็กไทยว่า “วันนี้รู้สึกอย่างไร ?” หลายคนอาจตอบไม่ได้ หรือตอบแบบผิวเผินว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี” เท่านั้น ความสามารถในการรับรู้และเข้าใจอารมณ์ตัวเอง หรือทักษะของการ “อยู่กับใจตัวเอง” กลับเป็นสิ่งที่ระบบการศึกษาไทยมองข้ามมาเนิ่นนาน
ในยุคที่เด็กไทยเผชิญความกดดันมากมาย ทั้งการเรียน การแข่งขัน และความคาดหวังจากสังคม การสอนให้เด็ก “อยู่กับใจตัวเอง” ไม่ใช่เรื่องเสริมหรือทางเลือก แต่เป็นทักษะชีวิตที่จำเป็น งานวิจัยล่าสุดชี้ชัดว่า การพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ (Social-Emotional Learning หรือ SEL) ส่งผลดีต่อสุขภาพจิต พฤติกรรมทางสังคม และแม้แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
Eva Goksel นักการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซูริกชี้ว่า ระบบการศึกษาปัจจุบันมักเน้นแต่ “หัว” แต่ละเลย “ใจ” และ “กาย” ทั้งที่การเรียนรู้ที่แท้จริงต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของทั้งร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ เด็กไทยหลายคนเก่งคณิตศาสตร์ เก่งวิทยาศาสตร์ แต่กลับไม่รู้จักตัวเอง ไม่เข้าใจความรู้สึกของตนและผู้อื่น
การสอนให้เด็กอยู่กับใจตัวเองไม่ใช่เรื่องนามธรรม แต่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน โดย Konishi และคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์พบว่า การพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคมควรครอบคลุม 5 ด้านหลัก ได้แก่
ในบริบทสังคมไทยที่มักสอนให้เด็กกดความรู้สึก “อดทน” และ “เก็บอาการ” การสอนให้เด็กรู้จักและยอมรับอารมณ์ตัวเองจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จำเป็น โรงเรียนต้องสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” คือบรรยากาศที่เด็กรู้สึกว่าพูดหรือแสดงความรู้สึกได้โดยไม่ถูกตัดสินหรือล้อเลียน และ “พื้นที่กล้าหาญ” คือสภาพแวดล้อมที่เด็กได้รับการสนับสนุนให้กล้าเปิดเผยความรู้สึกที่ซับซ้อนหรือยากลำบาก แม้จะรู้สึกไม่สบายใจก็ตาม
เครื่องมือในการสร้างการเรียนรู้เช่นนี้มีหลากหลาย ทั้งการใช้ละครเป็นสื่อให้เด็กได้สวมบทบาทและเข้าใจมุมมองที่แตกต่าง หรือการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างสร้างสรรค์ เช่น แอปพลิเคชั่นบันทึกอารมณ์ประจำวัน เกมที่ออกแบบให้เด็กได้เรียนรู้การจัดการความเครียด หรือแพลตฟอร์มที่ช่วยให้เด็กฝึกสื่อสารความรู้สึกอย่างเหมาะสม
ที่สำคัญ การสอนให้เด็กอยู่กับใจตัวเองไม่ได้ขัดกับวัฒนธรรมไทย แต่กลับสอดคล้องกับหลักพุทธศาสนาที่เน้นการรู้เท่าทันอารมณ์และจิตใจ เพียงแต่เราต้องปรับวิธีการสอนให้ร่วมสมัย ไม่ใช่แค่ท่องจำหลักธรรม แต่ต้องฝึกปฏิบัติผ่านกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม เช่น การฝึกสติด้วยการหายใจอย่างมีสมาธิ 5 นาทีก่อนเริ่มเรียน การจัดวงพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกประจำวัน หรือการฝึกสังเกตอารมณ์ตนเองผ่านบันทึกประจำวัน
สังคมไทยกำลังเผชิญปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนที่รุนแรงขึ้น ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตผ่านแอปพลิเคชั่น Mental Health Check-in ระหว่างกุมภาพันธ์ 2565 ถึงตุลาคม 2567 ในเด็กและวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี กว่า 5 แสนราย พบว่ามีผู้เสี่ยงซึมเศร้าร้อยละ 10.28 และเสี่ยงทำร้ายตนเองสูงถึงร้อยละ 17.4 การสอนให้เด็กอยู่กับใจตัวเองจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน
โรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ที่เด็กไม่เพียงเรียนรู้เพื่อรู้ แต่ต้อง “เรียนรู้เพื่อรู้สึก” ด้วย เพราะความฉลาดทางอารมณ์และทักษะทางสังคมจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เยาวชนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและมีความสุขในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
บทความคอลัมน์ : SD Talk โดย ผศ.ดร.สหวรัชญ์ พลหาญ
ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ที่มา ; ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 20 เมษายน 2568