รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยถึงข้อมูลสถาบัน IMD ที่ได้ประกาศผลรายงานการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขัน พบว่าการจัดอันดับด้านการศึกษาประเทศไทยอยู่ในอันดับที่55 ซึ่งอันดับลดลงจากปีที่ผ่านมา 1 อันดับ จากประเทศที่เข้าร่วมการจัดอันดับทั้งสิ้น 69 ประเทศทั่วโลก แม้ผลจะลดลงจากปีที่ผ่านมาแต่ประเทศไทยมีพัฒนาการทางการศึกษาที่น่าสนใจ ดังนี้
1. จำนวนประเทศที่เข้าร่วมการจัดอันดับเพิ่มขึ้นทุกปี จึงควรพิจารณาอันดับจากค่าเปอร์เซ็นไทล์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะทำให้สามารถเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาได้ดีมากขึ้น โดยในปี 2025 ประเทศไทยอยู่ในเปอร์เซ็นไทล์ที่ 20.6% ซึ่งถือว่าดีกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย
2. อันดับตัวชี้วัดเทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่า มี 6 ตัวชี้วัดที่อันดับดีขึ้น ได้แก่ 1) อัตราส่วนนักเรียนต่อครู 1 คนที่สอนระดับมัธยมศึกษา 2) ร้อยละของผู้หญิงที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป 3) ผลการทดสอบ PISA 4) ร้อยละของนักเรียนที่มีผลการทดสอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่านที่ไม่อยู่ในระดับต่ำ 4) ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ (TOEFL) 5) อัตราการไม่รู้หนังสือของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป
3. ค่าตัวชี้วัดเทียบกับปีที่ผ่านมา จะพบว่า ตัวชี้วัดทั้งสิ้น 19 ตัวชี้วัด มี 7 ตัวชี้วัดที่ค่าดีขึ้น ซึ่งถือว่าแนมโน้มพัฒนาการตัวชี้วัดดีขึ้น ได้แก่ 1) งบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษาต่อประชากรคิดเป็น US$ ต่อหัว 2) งบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษาต่อนักเรียนทุกระดับการศึกษา 3) อัตราส่วนนักเรียนต่อครู 1 คนที่สอนระดับประถมศึกษา 4) อัตราส่วนนักเรียนต่อครู 1 คนที่สอนระดับมัธยมศึกษา 5) ร้อยละของผู้หญิงที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป 6) จำนวนนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามาเรียนระดับอุดมศึกษาในประเทศต่อประชากร 1,000 คน7) จำนวนนักศึกษาไทยที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศในระดับอุดมศึกษาต่อประชากร 1,000 คน
4. ค่าตัวชี้วัดเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก พบว่า มี 2 ตัวชี้วัดที่มีค่ามากกว่าค่าเฉลี่ย คือ งบประมาณด้านการศึกษาต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศและอัตราส่วนนักเรียนต่อครู 1 คนที่สอนระดับประถมศึกษา
อย่างไรก็ตาม IMD ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริหาร โดยให้เลือก 5 ปัจจัยหลัก ที่เป็น “จุดเด่นที่ดึงดูดความน่าสนใจของประเทศ” ต่อการลงทุน เศรษฐกิจหรือการแข่งขัน โดย 5 อันดับแรก มีปัจจัยบวกที่เชื่อมโยงและสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยอยู่ 2 อันดับ คือ อันดับ 1 ทัศนคติที่เปิดกว้างและเชิงบวก 69.5% และอันดับที่ 5 แรงงานที่มีทักษะ 45.7%ทั้งนี้ IMD ได้ให้ข้อเสนอแนะที่สำคัญ คือ การส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมที่ประเทศกำลังเผชิญ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาของประเทศดีขึ้น
ในส่วนของการถอดบทเรียนการยกระดับ IMD2025 :
1. ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาการปรับปรุงข้อมูลทางการศึกษาให้ถูกต้องและทันสมัยในระบบฐานข้อมูลทางการศึกษาในระดับนานาชาติ ฐานข้อมูลสำคัญที่ IMD ให้เป็นข้อมูลหลักในการจัดอันดับทางการศึกษาประกอบด้วย ฐานข้อมูล UIS ขององค์การยูเนสโก และฐานข้อมูล INES ขององค์การ OECD ต้องให้ความสำคัญกับการจัดเก็บข้อมูลให้มีความครบถ้วนและทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะทำให้ข้อมูลสถิติทางการศึกษาของประเทศไทยดีขึ้น
2. ภาคเอกชนยังไม่ยอมรับคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย จากผลการสำรวจความคิดเห็นของภาคเอกชนที่มีต่อระบบการศึกษาไทยที่ทุกตัวชี้วัดมีค่าคะแนนที่ลดลงในทุกตัวชี้วัด ดังนั้นต้องเพิ่มระดับการมีส่วนร่วมดำเนินการมาสู่การร่วมกำหนดนโยบายและร่วมรับผิดชอบในการจัดการศึกษา
3. ควรผลักดันให้คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้การยกระดับผลการจัดอันดับ IMD เป็นตัวชี้วัดบูรณาการของส่วนราชการ เพื่อกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชัดเจน และมีการวัดผลความสำเร็จ ซึ่งแม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยจะไม่สามารถทำให้ผลการจัดอันดับด้านการศึกษาเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเจาะลึกแต่ละตัวชี้วัด จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นตัวชี้วัดสถิติทางการศึกษามีแนวโน้มที่ดีขึ้นเกือบทุกตัวชี้วัด สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยมีพัฒนาการทางการศึกษา แต่ความเร็วของพัฒนาการยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ประเทศมีความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาแซงหน้าประเทศอื่น ๆ ดังนั้น การพัฒนาการศึกษาจะต้องดำเนินการให้มีความเข้มข้นขึ้น มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น
จากภาพรวมของข้อมูลแม้อันดับของประเทศไทยอาจลดลงในปีนี้เพียง 1 อันดับ แต่การศึกษาไทยที่กำลังเติบโตขึ้นท่ามกลางความท้าทายยังคงเดินหน้าต่ออย่างไม่หยุดยั้ง ที่สำคัญยังขยับมาเป็นลำดับที่ 3 ของอาเซียนเพราะหากมองด้านอื่นแบบเปิดใจจะพบว่าการไม่รู้หนังสือลดลง โลกเริ่มมองเห็นการศึกษาไทย และคนไทยก็เริ่มมองหาการศึกษาโลกมากขึ้น ซึ่งเป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่แค่ “ขยับอันดับ” แต่ต้อง “เปลี่ยนแปลงคุณภาพ” กระทรวงศึกษาธิการพร้อมที่จะยกเครื่องฐานข้อมูลเพื่อผลักดันให้การแข่งขันทัดเทียมระดับโลก และเร่งอัปเดตฐานข้อมูลด้านการศึกษาให้แม่นยำและทันสมัยเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าระบบกลางที่น่าเชื่อถือ รวมถึงผลักดันให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการจัดอันดับ IMD เป็นตัวชี้วัดร่วมของภาครัฐ “การศึกษาไทยไม่ได้ขาดพลัง แต่ขาดเครื่องมือวัดพลังให้โลกเห็น”
เลขาธิการสภาการศึกษา เผยถึงอันดับในเวที IMD 2025 ไทยอยู่ที่ 55 จาก 69 ประเทศ แม้จะขยับลดลงแต่คุณภาพภายในของระบบการศึกษากลับมีแนวโน้มดีขึ้นหลายด้าน สัญญาณพัฒนายกระดับข้อมูลการศึกษาเริ่มชัด เตรียมผลักดันให้ ครม.เห็นชอบเป็นตัวชีวัดการบูรณาการ หวังปักหมุดไทยบนแผนที่การแข่งขันระดับโลก
ที่มา ; ศธ.360 องศา
เกี่ยวข้องกัน
กระทรวง อว. ชงแผน 3 ระยะ รับมือนโยบายทรัมป์กระทบการศึกษาไทย
ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 มีมติรับทราบมาตรการรับมือผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ที่มีต่อระบบการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ของไทย เช่น นโยบาย “America First Foreign Aid”, การยกเลิกการสนับสนุนความหลากหลาย (DEI), และการปฏิรูประบบตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มข้นขึ้น (Extreme Vetting)
มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อความร่วมมือด้านการศึกษาและทุนวิจัยระหว่างไทยและสหรัฐ รวมถึงโอกาสของนักศึกษาและนักวิจัยไทยในสหรัฐอเมริกา
ที่ประชุมได้เน้นย้ำให้เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาสในการสร้างความเข้มแข็งและยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ซึ่งกระทรวง อว.ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้เตรียมแผนรับมือ 3 ระยะ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างเป็นระบบและทันท่วงที
แผนปฏิบัติการ 3 ระยะ
โดยได้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อลดผลกระทบต่อระบบ อววน. ของประเทศไทย ได้แก่
ระยะสั้น (ภายใน 1 ปี) : ตั้งรับเชิงรุก ช่วยเหลือนักศึกษาไทย ในระยะเร่งด่วน กระทรวง อว.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งสำรวจจำนวนนักเรียนนักศึกษาไทยที่พึ่งพาทุนรัฐบาลสหรัฐ เช่น FAFSA หรือ Fulbright เพื่อเตรียมมาตรการช่วยเหลือเบื้องต้นผ่านสถานเอกอัครราชทูตไทยในสหรัฐ
พร้อมทั้งจัดทำบัญชีโครงการวิจัยที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อจัดหาทุนสำรองและกระจายความเสี่ยงโดยขยายความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงการมอบหมายหน่วยงานทำหน้าที่ให้คำแนะนำเรื่องวีซ่าและโอกาสการทำงานในไทยหรือประเทศทางเลือก
ส่วนระยะกลาง (1-3 ปี) : ปรับกลยุทธ์ สร้างพันธมิตรใหม่ ประเทศไทยจะใช้การทูตผลักดันโครงการที่สอดคล้องกับผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐ เพื่อรักษาความร่วมมือ พร้อมกันนี้จะจัดทำข้อมูลแนะแนวการศึกษาต่อในประเทศทางเลือกที่มีนโยบายเปิดกว้าง เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา จีน และออสเตรเลีย นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาหลักสูตรในไทยให้มีคุณภาพสูงเพื่อรองรับนักศึกษาไทยและต่างชาติ พร้อมออกมาตรการดึงดูดบุคลากรทักษะสูงทั้งชาวไทยและต่างชาติกลับสู่ประเทศ
ระยะยาว (มากกว่า 3 ปี) : พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ผลักดันไทยสู่ Education Hub โดยมุ่งเน้นการยกระดับมหาวิทยาลัยไทยและพัฒนาหลักสูตรนานาชาติ (International Programs) ในสาขาอนาคตที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะสร้างความร่วมมือกับอาเซียนและสหภาพยุโรปเพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการศึกษาและการวิจัย (Education Hub) ของภูมิภาค และวางแผนพัฒนาภาคเอกชนไทยให้สามารถเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chain)
“กระทรวง อว. มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อนักศึกษาและนักวิจัยของไทยที่อาจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านสถานะวีซ่า การสนับสนุนทางการเงินและวิชาการ โดยขอให้มั่นใจว่ากระทรวง อว. ได้เตรียมมาตรการรองรับเพื่อดูแลทุกท่านอย่างดีที่สุด เพราะทุกท่านคือบุคลากรคุณภาพที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ”
ศุภมาส ชงแผนรับมือนโยบายทรัมป์ คลอด 3 มาตรการพลิกวิกฤตการศึกษาไทยสู่ Education Hub ผ่านการหาพันธมิตรประเทศทางเลือกที่มีนโยบายเปิดกว้าง เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา จีน ออสเตรเลีย
ที่มา ; ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 17 มิถุนายน 2568