ค้นหา

White Paper ทิศทางการศึกษาไทยที่สังคมคาดหวัง

บทสัมภาษณ์ ดร. กมล รอดคล้าย ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภาการศึกษามิใช่เป็นเพียงเครื่องมือในการสร้างคนหรือพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เท่านั้น หากแต่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศด้วย 

> กมธ. การศึกษาฯ เริ่มขับเคลื่อนงานเรื่องใดไปบ้าง 

กมธ. การศึกษาฯ เริ่มทำงานมาแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ สัปดาห์แรกเป็นการเลือกตั้งประธาน กมธ. และผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่างๆ หลังจากนั้น เป็นการจัดระบบการแบ่งคณะอนุกรรมาธิการฯ และเนื่องจาก กมธ. การศึกษาฯ ครั้งนี้ ได้รวมการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาเข้ามาด้วย ดังนั้น เวลาตั้งคณะอนุกรรมาธิการฯ จึงต้องตั้งให้ครอบคลุมทั้งในส่วนของการศึกษาขั้นพื้นฐาน และอุดมศึกษา โดยแบ่งเป็น 3 ชุด คือ ชุดที่ 1 คณะอนุกรรมาธิการการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา ชุดที่ 2 คณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมการเรียนรู้ การศึกษาเอกชนและการศึกษาเท่าเทียม ซึ่งเป็นเรื่องของการสร้างโอกาสให้คนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพทัดเทียมกันทั้งประเทศ ส่วนชุดที่ 3 คือ คณะอนุกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

งานที่ทำมี 3 ส่วน คือ การพิจารณากฎหมายที่ถูกส่งเข้ามาจากสภาผู้แทนราษฎร การติดตามงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาโดยเฉพาะเรื่องร้องเรียน หรือเรื่องที่มีผู้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ และการสร้างโมเดลการแก้ไขปัญหาการศึกษาและการพัฒนาการศึกษารูปแบบใหม่ๆ ซึ่งเรื่องที่เข้ามาล่าสุด คือ กรณีอุบัติเหตุรถบัสทัศนศึกษาของนักเรียนเกิดไฟไหม้ และการแก้ไขปัญหาบัณฑิตตกงาน ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน” 

> กรณีรถบัสนักเรียนไฟไหม้ กมธ. การศึกษาฯ จะเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้อย่างไร 

สิ่งสำคัญที่สุด คือการให้ความปลอดภัยกับเด็กซึ่งเวลาอยู่โรงเรียน เด็กจะมีความไม่ปลอดภัยจาก 3 เรื่องหลัก คือ อุบัติภัยจากธรรมชาติ ทั้งน้ำท่วม ดินสไลด์ ฯลฯ ความไม่ปลอดภัยจากมนุษย์ เช่น ยาเสพติด การบูลลี่ การละเมิดสิทธิ รวมถึงภัยจากอุบัติเหตุต่างๆ รวมถึงการเดินทางออกจากสถานศึกษา ที่ต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาและทำให้เด็กเสียชีวิตจำนวนมาก เพราะฉะนั้นจึงต้องเข้าไปกำกับดูแลอย่างจริงจัง ทั้งในแง่การรับส่งเด็ก จากบ้านมาโรงเรียน และจากโรงเรียนกลับบ้าน รวมถึงการเดินทางไปทัศนศึกษา ซึ่งในมิติของการเรียนรู้ การจัดทัศนศึกษาถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเวลาสอนเด็ก ไม่ได้สอนแต่เรื่องวิชาการ แต่ต้องการพัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม อารมณ์ ซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ในห้องเรียนได้ทั้งหมด การทัศนศึกษาจะทำให้เด็กเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ เกิดแรงบันดาลใจ 

ปัญหาที่เกิดขึ้น อาจต้องดูเชิงระบบ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีโรงเรียนในสังกัดจำนวนมาก ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากหลายปัจจัย เช่น โรงเรียนอาจจะมีงบประมาณไม่เพียงพอ จึงทำให้คัดเลือกรถพา เด็กไปทัศนศึกษา ที่ได้มาตรฐานไม่ดีพอ ขณะที่การจัดเด็กไปทัศนศึกษา ก็มีการคละหลายชั้นเรียน ทำให้ครูไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง การแก้ปัญหาจึงอาจต้องมาดูที่การบังคับใช้กฎระเบียบให้เข้มงวดมากขึ้น โดยตามระเบียบการเดินทางไปทัศนศึกษาของ ศธ. กำหนดมาตรการไว้ อาทิ ระดับชั้นอนุบาล ให้ทัศนศึกษาใกล้โรงเรียน ระดับประถมศึกษา สามารถไปทัศนศึกษาได้ภายในจังหวัดของตัวเอง หรือจังหวัดใกล้เคียง มัธยมศึกษา สามารถข้ามจังหวัด หรือไปทัศนศึกษาต่างประเทศได้ โดยผู้มีอำนาจอนุมัติจะไล่ตามลำดับชั้น คือ ไปวันเดียวเป็นอำนาจของผู้อำนวยการโรงเรียน ค้างคืน ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และกรณีไปทัศนศึกษาต่างประเทศ ต้องได้รับอนุมัติจากเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) 

แต่จุดอ่อนของโรงเรียนนี้ คือ นำเด็กตั้งแต่ชั้นประถม และมัธยมศึกษาตอนปลายมารวมกัน ทำให้ครูดูแลได้ยาก ไม่ทั่วถึง รวมถึงเดินทางไกลเกินไปจากอุทัยธานีมากรุงเทพฯ ใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมง ทำให้เกิดความอ่อนล้า จุดพลิกผันคือการเลือกรถ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเพราะราคาถูก อีกทั้งยังไม่ทราบว่าเป็นรถดัดแปลง ซึ่งในส่วนนี้ ก็ต้องไปพูดถึงกรมการขนส่งทางบก ที่ต้องดูแลและตรวจสภาพรถให้มีความเข้มข้นมากกว่านี้

อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น ได้มีการดำเนินการใน 2 ส่วน คือ กระทรวงคมนาคม ดำเนินการตรวจสภาพรถใหม่ กว่าหมื่นคัน โดยทาง กมธ. การศึกษาฯ พยายามผลักดันให้กรมขนส่งทางบกให้ประกาศชื่อ “ รถทัวร์สีขาว” เพื่อให้โรงเรียนได้เลือกใช้รถที่ได้มาตรฐาน ส่วนมิติโรงเรียนและการจัดการทัศนศึกษา ศธ. ได้กำชับให้ดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด“ 

> จำเป็นต้องมีกฎหมายเข้ามากำกับดูแลในภาพรวมหรือไม่

มันใจว่าจะเกิดขึ้น โดยจะมีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล ซึ่งน่าจะมีการกำหนดมาตรการหรือจัดทำกฎหมายกำกับดูแลที่แท้จริงมากขึ้นเพื่อไม่ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ถือเป็นเรื่องแรกๆ ที่ กมธ. การศึกษาฯ จะเข้ามาผลักดัน“ 

> การแก้ปัญหาบัณฑิตตกงาน

เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ยืดเยื้อ แต่ต้องยอมรับว่าเป็นจุดอ่อนที่เกิดจากสภาพการทางการศึกษาของประเทศไทย แม้แต่ร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. ฉบับใหม่ ที่กำลังขับเคลื่อนก็มีการวางทิศทางการจัดการศึกษา ให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม มีการยกระดับคุณภาพการศึกษา และเร่งสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของคนไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ ซึ่ง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นเจ้าภาพหลัก ในการผลิตคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดย กมธ. การศึกษาฯ จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือ ทั้งกระทรวงแรงงาน อว. สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า เพื่อให้ทราบข้อมูลความต้องการในภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจ นำไปสู่การปรับหลักสูตร เปิดให้มีการเรียนข้ามหลักสูตรมากขึ้น เพื่อผลิตคนให้ตรงตามความต้องการ สิ่งที่คาดหวังคือ หลังการหารือ จะมีข้อเสนอไปยัง สถาบันอุดมศึกษา ให้มีการปรับการเรียนการสอนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานอย่างแท้จริง“ 

> ต้องดึงอาชีวศึกษา และกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เข้ามาร่วมด้วยหรือไม่

ดึงเข้ามาด้วย โดยเฉพาะอาชีวศึกษา ที่ต้องพัฒนาทักษะให้ได้มาตรฐาน“ 

> การผลักดันร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ....

สภาผู้เเทนราษฎร และวุฒิสภา ได้มีการพูดคุยกันเบื้องต้นแล้ว ว่าจะช่วยผลักดันกฎหมายฉบับนี้ ให้ประสบความสำเร็จภายใน 3-4 ปี โดยเฉพาะสภาผู้เเทนราษฎรได้จัดทำร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฯ เสร็จสมบูรณ์แล้ว มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาแล้วมากกว่าหมื่นคน ทั้งนี้ จุดอ่อนของร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฯ ฉบับที่ผ่านมา อยู่ที่เนื้อหา ซึ่งมีมากเกินไป รวมถึงมีการลงรายละเอียดในแต่ละเรื่อง ทำให้เกิดการคัดค้าน ทั้งเรื่องครู ผู้บริหาร โครงสร้าง ดังนั้นร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฯ ฉบับใหม่ ไม่จำเป็นต้องเขียนสิ่งเหล่านี้ไว้จนรัดตัว ปรับไม่ได้ แต่ควรจะกำหนดเพียงหลักการกว้างๆ ไว้ เช่น หลักการจัดการศึกษา หลักการพัฒนาครู เเนวทางการกระจายอำนาจ เป็นต้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ให้ไปกำหนดไว้ในกฎหมายลูก เชื่อว่าร่าง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งฯ จะผ่านการพิจารณาจากรัฐสภาได้ภายในรัฐบาลนี้ 

แต่สิ่งที่สำคัญ คือ กำลังจะมีการยกร่าง พ.ร.บ. การศึกษาเท่าเทียมพ.ศ. .... ขึ้นมาอีกฉบับหนึ่ง เพื่อทำงานคู่ขนานกันไป โดยมีการพัฒนาการจัดการศึกษาใน 4 เรื่องหลัก คือ 1. การนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการจัดการศึกษา สร้างแพลตฟอร์มให้เด็กได้เลือกหาความรู้ได้ 2. การเทียบโอนผลการเรียน และ จัดทำระบบเครดิตแบงค์ หรือธนาคารหน่วยกิต เพื่อนำไปสู่การสอบเทียบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเคยดำเนินการมาแล้วในอดีต ให้เด็กได้เรียนจบ และเข้ามามหาวิทยาลัยได้เร็วขึ้น 3. การทำพอร์ตโฟลิโอข้อมูลบุคคลประจำตัวเด็ก ซึ่งระบบนี้จะเป็นระบบคู่ขนานกับระบบปกติ เป็นการให้โอกาสเด็กที่มีความสามารถสูง หรือมีความพร้อมก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยจะมีการตั้งสถาบันขึ้นมาเพื่อเป็นองค์กรกลางในการดูแลเรื่องนี้ ซึ่งจะไม่ซ้ำซ้อนกับบทบาท สกร. หรือ อว. แต่จะทำให้การผลักดันเรื่องนี้เป็นไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น “ 

> หนักใจหรือไม่ เพราะวันนี้ปัญหาการศึกษาค่อนข้างมาก 

กมธ. การศึกษาฯ จะต้องทำหน้าที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ซึ่งข้อดีคือ คนที่อยู่ใน กมธ. นี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ขณะเดียวกัน จะต้องเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะ คือ ต้องมองภาพรวมด้วยความเข้าใจและคอยประคับประคองการทำงาน เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง และต้องชี้นำสังคมให้ได้ว่า เรื่องใดมีความเหมาะสม หรือเรื่องใดที่ไม่ควรทำ สิ่งที่เราคิด คือ การศึกษามีปัญหาที่หลากหลาย มีความซับซ้อน ถ้าทำทุกเรื่องคงไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ ดังนั้น จะต้องวิเคราะห์ และเรียงลำดับความสำคัญออกมาให้ได้ว่า เรื่องใดควรจะทำแค่ไหน เพื่อให้สามารถเป็นกลไกหลักในการพลิกโฉมการศึกษา

กล่าวคือ ถ้าเป็นระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็ต้องดูว่า ทำอย่างไรให้ทุกคนได้มีโอกาสทางการศึกษาทั้งการจัดสรรทุนการศึกษา การปรับหลักสูตรครั้งใหญ่ ให้ตอบสนองความเปลี่ยนแปลงของโลก การกระจายอำนาจให้องค์กรส่วนท้องถิ่น จัดการศึกษาในระดับปฐมวัย กระจายอำนาจให้โรงเรียนได้มีส่วนในการจัดการศึกษามากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องหลักสูตร ที่ต้องเป็นไปตามบริบทและความต้องการของชุมชน” 

อาชีวศึกษาต้องผลิตคนเพื่อพัฒนาประเทศโดยใช้ฐานข้อมูลทางเศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง นอกจากทำให้เด็กมีงานทำแล้ว ยังสามารถผลิตกำลังคน ให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศด้วย ส่วนระดับอุดมศึกษา ต้องผลักดันใน 3 เรื่อง อย่างแรกคือทำอย่างไรให้มหาวิทยาลัยไทย ติดอันดับโลกให้มากขึ้น คุณภาพการศึกษาของอุดมศึกษา เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน และคิดว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพยายามอย่างเต็มที่ อย่างที่สอง ซึ่งไม่ค่อยมีคนพูดถึงคือ มหาวิทยาลัยในประเทศไทยมีปัญหาธรรมาภิบาลค่อนข้างมาก เป็นอีกเรื่องสำคัญที่ต้องเข้าไปดูแล และเรื่องสุดท้าย คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยจุดมุ่งหมาย คือ พัฒนาคน เพราะหากอยากให้ประเทศเป็นอย่างไร ต้องสร้างการศึกษา ที่ส่งคนไปพัฒนาประเทศตามแนวทางนั้น”

 

>การสร้างโอกาสทางการศึกษา

วันนี้สังคมไทยประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งในการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับประชาชนในประเทศ หากแต่จะทำอย่างไรให้ผลผลิตของการศึกษามีคุณภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขันของคนอยู่ในระดับต้นๆ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในสังคมโลก 

การทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จึงเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่ง แต่หากเรายังทุ่มเทใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และใช้สรรพกำลังทั้งหมดเพื่อสร้างคุณภาพในทุกด้านแบบกระจัดกระจาย อาจไม่ประสบความสำเร็จเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เราสูญเสียทรัพยากร หมดขวัญกำลังใจ ติดหล่มหลุมดำของการศึกษา และคุณภาพพร้อมขีดความสามารถลดลงเป็นลำดับ สิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งรีบจึงต้องเป็นการกำหนดจุดเน้นการพัฒนาที่ชัดเจน เลือกทำเฉพาะโครงการที่เป็นจุดเปลี่ยน ตามความต้องการของสังคมและทิศทางการพัฒนาประเทศ โดยใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า 

> ทิศทางพัฒนาการศึกษาไทย

ข้อเสนอ White Paper ทิศทางพัฒนาการศึกษาไทยที่สังคมคาดหวัง จึงถูกจัดทำขึ้น โดยความร่วมมือของคณะกรรมาธิการการศึกษา การอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ โดยศึกษาข้อมูลจากฐานทฤษฎีด้านการศึกษา ศึกษาการบริหารการศึกษาเปรียบเทียบจากนานาประเทศ และสอบถามความคาดหวังของ สังคมทุกภาคส่วน ต่อความต้องการในการพัฒนาการศึกษาไทย นำไปสู่ข้อเสนอที่แม่นตรง สั้นกระชับ โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 

&สภาพปัจจุบัน.

ประเทศไทยมีสถานศึกษาที่หลากหลายทั้งโรงเรียนพื้นฐานทั่วไป โรงเรียนเด็กพิการเเละด้อยโอกาสโรงเรียนสำหรับผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ ทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพ ประเทศไทยมีบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในโรงเรียนกว่า 561,000 คนปัจจุบันมีการใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ในการจัดการศึกษา เเละหากดำเนินงานด้านการเเนะเเนวได้ดี การแนะแนวคือกระบวนการสำคัญที่จะชี้แนวทางความต้องการสร้างทรัพยากรมนุษย์ของประเทศประเทศไทย

ในขณะเดียวกัน อัตราการเกิดต่ำมีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น มีปรากฏการณ์สมองไหลของคนเก่ง ทำให้ขาดทรัพยากรมนุษย์ในการพัฒนาประเทศ ถ้าเราสามารถสร้างระบบข้อมูลที่ดี มีคุณภาพ จะเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 

 

จากสถานการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การนำเสนอเเนวทางการพัฒนา กล่าวคือ

1.พัฒนาศักยภาพเด็กไทยผ่านโครงการ support program และ talent school ในโรงเรียนประจำจังหวัด 

มีการคัดเลือกคนเก่งด้านต่างๆร้อยละ 5 ของประชากรไทยทั้งประเทศ เข้าสู่โครงการ จัด cluster กลุ่มคนเก่งของประเทศที่คัดเลือกแล้วออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มีความสามารถทางวิชาการ academic talent คนเก่งด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ไอที และความเป็นเลิศเฉพาะด้านที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ และกลุ่มที่มีความสามารถทางวิชาชีพ vocational talent โดยคัดกรองเข้มข้น ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา กำหนดทุนรัฐบาลโครงการtalent Support ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทุกมิติ อาชีพ โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายอย่างแท้จริง และให้นักเรียนทุนกลับมาใช้ทุนกระจายการทำงานทั้งในภาครัฐและเอกชน มีสวัสดิการที่เหมาะสมทุกด้านตลอดช่วงชีวิต จัดให้มีศูนย์รับผิดชอบหรือดูแลคนเก่งอย่างเป็นระบบ 

พัฒนาครูทั้งระบบให้เป็น super teacher มีการผลิตครูระบบปิด โดยมีการทบทวนและวางแผนการผลิตครูใหม่ ให้สอดคล้องกับความต้องการ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศจัดโครงการสร้างครู ระดับ premium เพื่อพัฒนาครูให้กลับมาพัฒนาการเรียนการสอนแนวใหม่ ในรูปแบบของทุนการศึกษาต่อปริญญาโท 200 ทุน เรียนในต่างประเทศ 30 ทุนในประเทศ 170 ทุน ปริญญาเอก 100 ทุน ในต่างประเทศ 20 ทุนในประเทศ 80 ทุน มีระบบสวัสดิการ ค่าตอบแทนที่เหมาะสม เพื่อดึงคนเก่งคนดีมาเป็นครู และรักษาครูให้อยู่ในระบบ

พัฒนาหลักสูตรให้มีความยืดหยุ่นหลากหลาย มีการใช้สื่อเทคโนโลยีเเละรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย

พัฒนาระบบแนะแนว ทั้งแนะแนวเด็ก ผู้ปกครองในรูปแบบของเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นที่เหมาะสมต่อการใช้งานสามารถเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย มีผู้ให้คำแนะนำปรึกษาพร้อมเสริมระบบ AI ช่วยตอบปัญหาเบื้องต้น โดยระบบแนะแนวครอบคลุมทั้งการให้ความรู้ในด้านวิชาการ วิชาชีพ และวิชาชีวิต 

2.ดึงคนไทยหรือคนต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาเพื่อพัฒนาประเทศ ได้แก่สนับสนุนคนไทยที่มีศักยภาพและทำงานในต่างประเทศให้กลับมาทำงานในบ้านเกิด สนับสนุนคนต่างชาติที่มีศักยภาพสูงให้มาทำงานในประเทศไทย โดยจัดให้มีศูนย์ดูเเลกลุ่มคนเหล่านี้อย่างเป็นระบบ เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศที่เอื้อต่อการทำงานและการใช้ชีวิต จัดตั้งศูนย์วิจัยด้านต่างๆเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในรูปแบบ Silical Vallay ของประเทศไทย มีการศึกษายุทธศาสตร์ของนานาชาติในการชักชวนชาวต่างประเทศ หรือคนที่มีสัญชาตินั้นๆให้กลับมาทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญ 

วิธีการสำคัญที่เป็นตัวอย่างในการสนับสนุนทั้งคนไทยที่มีทักษะสูงและทำงานในต่างประเทศให้กลับมาทำงานในประเทศไทย อาทิเช่น ให้เงินสนับสนุนการเคลื่อนย้าย ให้ค่าตอบแทนที่สูง มีระบบภาษีจูงใจ ส่วนการสนับสนุนคนต่างชาติที่มีศักยภาพสูงให้มาทำงานในไทยคือต้องมีการพัฒนาระบบไทยPR ที่มีมาตรฐานสากล โดยอาจรับเฉพาะสาขาอาชีพที่ประเทศไทยขาดแคลนหรือจำเป็น ต้องใช้องค์ความรู้ที่ประเทศไทยยังขาดมาใช้เพื่อวางแผนพัฒนา มีการให้สวัสดิการที่เหมาะสม สร้างความเป็นเจ้าของประเทศร่วม ในลักษณะของ Green Card เมื่อทำงานหรือจ่ายภาษีครบตามจำนวนที่กำหนด เป็นการให้วีซ่าแก่คนต่างชาติ หรือให้ใบอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ หลากหลายรูปแบบ โดยจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบเรื่องการรับคนไทยและคนต่างชาติที่มีศักยภาพเข้ามาทำงานเป็นการเฉพาะ 

3.การพัฒนาระบบ Data Driven เพื่อการบริหารข้อมูลแห่งชาติด้านทรัพยากรมนุษย์ มีการวิเคราะห์ข้อมูล และมี Dash Board แสดงผลข้อมูล พัฒนาทั้งระบบฮาร์ดแวร์ซอฟต์แวร์และพีเพิลเเวร์เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการข้อมูลแห่งชาติ มีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ระบบ AI ในการวิเคราะห์หรือใช้ผู้เชี่ยวชาญในการเป็นนักวิเคราะห์ข้อมูล มีการศึกษาข้อมูลรายบุคคล รายจังหวัดและรายภูมิภาค เพื่อชี้ให้เห็นถึงความต้องการในการพัฒนาคนทั้งด้านวิชาการ และวิชาชีพ เมื่อนานาประเทศต้องการมาลงทุนในประเทศไทยก็จะสามารถรับรู้ได้ว่ามีความต้องการคนกลุ่มใดมากน้อยเพียงใด 

ทิศทางการศึกษาไทยที่สังคมคาดหวังดังกล่าว เสนอขึ้นท่ามกลางกระแสที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บนโลกยุคใหม่ ทั้งด้านเทคโนโลยี การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้อยู่บนฐานของความเชื่อที่ว่าการศึกษาคือเครื่องมือสำคัญของการพัฒนาทุนมนุษย์ ให้มีคุณภาพ และมีศักยภาพเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาชาติ 

สังคมไทยในปัจจุบัน มีความคาดหวังต่อระบบการศึกษาทั้งในด้านความเสมอภาคทางการศึกษา คุณภาพของเด็กเเละเยาวชน ที่จะต้องมีการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในโลกยุคใหม่ และการส่งเสริมคุณลักษณะของความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง ซึ่งการตอบสนองต่อความคาดหวังนี้ต้องอาศัยความร่วมมือ และพลังจากทุกภาคส่วน ในการกำหนดทิศทางใหม่ของการศึกษาไทยที่มีความยึดหยุ่นเปิดกว้าง และเท่าทันโลก

เพราะอนาคตของการศึกษาคืออนาคตของชาติและคือความรับผิดชอบของทุกคนในประเทศนี้ 

ที่มา ; FB กมล รอดคล้าย

เกี่ยวข้องกัน

การปฎิรูปการศึกษาไทยในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน: ปัญหา ทัศนคติ และแนวทางปฏิบัติ

ปรับปรุงจากบทสัมภาษณ์สถานีวิทยุโทรทัศน์เเห่งประเทศไทย NBT เผยเเพร่เมื่อ 18 กรกฎาคม 2568

บทนำ

ระบบการศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมือง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยในปัจจุบันยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการที่ขัดขวางศักยภาพของระบบการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติของภาครัฐ ปัญหาด้านหลักสูตร การผลิตและพัฒนาครู ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ตลอดจนการปรับตัวต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนภาพรวมของปัญหา พร้อมทั้งเสนอแนวทางการปฏิรูปการศึกษาที่สอดคล้องกับบริบทของศตวรรษที่ 21 และหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน 

1. ทัศนคติของรัฐต่อการศึกษา: การลงทุนใน “คน” คือหัวใจ

นโยบายของรัฐบาลไทยในช่วงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการก่อสร้างในเชิงกายภาพ มากกว่าการพัฒนาทุนมนุษย์ ซึ่งควรเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง ประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านเศรษฐกิจและนวัตกรรมล้วนแล้วแต่มีการลงทุนในระบบการศึกษาที่แข็งแรง รัฐจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนทัศนคติ และมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจนในการ “สร้างคน” เป็นวาระแห่งชาติ 

2. ปัญหาหลักสูตร: เน้นเนื้อหาแต่ไม่เกิดสมรรถนะ

หลักสูตรการศึกษาของไทยในปัจจุบันยังเน้นการเรียนแบบแยกรายวิชาโดยมีเนื้อหาจำนวนมาก ซึ่งมักขาดการเชื่อมโยงกับชีวิตจริง ตัวอย่างชัดเจนคือการเรียนภาษาอังกฤษตลอด 12 ปี แต่ผู้เรียนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่สามารถจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนใช้ภาษาได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน จึงควรมีการออกแบบหลักสูตรที่เน้น “สมรรถนะ” และ “การนำไปใช้จริง” แทนการยึดติดกับเนื้อหาที่มากเกินจำเป็น 

3. การผลิตและพัฒนาครู: ปรับแนวคิดและโครงสร้าง

ระบบการผลิตครูยังไม่สอดคล้องกับความต้องการในภาคสนาม ควรมีการวางแผนกำลังคนโดยผลิตครูซึ่งควรเป็นระบบปิดในสัดส่วนที่พอดีต่อความต้องการจริง และเปิดช่องทางให้บุคคลภายนอกที่มีศักยภาพเข้าสู่วิชาชีพได้ นอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาครูอย่างต่อเนื่อง ทั้งครูรุ่นใหม่และครูปัจจุบัน ผ่านการฝึกอบรมด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ และการสนับสนุนการศึกษาต่อในระดับสูงทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

4. การเรียนรู้แบบ Active Learning: จากครูเป็นผู้สอนสู่ครูเป็นโค้ช

รูปแบบการเรียนรู้ควรเปลี่ยนจากการสอนแบบครูเป็นศูนย์กลาง (Chalk and Talk) ไปสู่ “Active Learning” ที่หลากหลาย เช่น การเรียนรู้แบบกลุ่ม การคิดวิเคราะห์ การจำลองสถานการณ์ และการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-Based Learning) หรือการเรียนรู้ที่ตั้งอยู่บนปัญหา (Problem-Based Learning) ตลอดจนการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน (Flip the Classroom) ที่ช่วยพัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะ “การคิดสร้างสรรค์” และ “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” 

5. ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา: ความไม่เท่าเทียมเชิงโอกาส

ความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียนในเมืองกับโรงเรียนชนบทยังเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในเรื่องของบุคลากรและทรัพยากรการเรียนรู้ การจัดสรรงบประมาณแบบ “เท่ากันหมด” ไม่สะท้อนความจำเป็นที่แตกต่างกัน จึงควรปรับวิธีการจัดสรรให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ โดยควรเริ่มด้วยงบพื้นฐานที่ทุกโรงควรได้รับตามความจำเป็นพื้นฐาน งบค่าใช้จ่ายรายหัว เเละงบเพิ่มในอัตราส่วนที่จำเป็นหรือ extra เพื่อให้เด็กทุกประเภทมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ 

6. แนวทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ: เทคโนโลยีและระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต

การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นแนวทางหนึ่งในการลดความเหลื่อมล้ำ เช่น การให้โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงครูคุณภาพและสื่อการเรียนรู้จากโรงเรียนที่มีความพร้อมมากกว่า พร้อมกันนี้ควรมีการพัฒนาระบบ “ธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank)” และ “ระบบสมุดพกประจำตัวนักเรียน” เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และเปิดโอกาสให้สามารถโอนย้ายหน่วยกิตระหว่างระบบ สามัญ อาชีวศึกษา และอุดมศึกษาได้อย่างยืดหยุ่น 

7. AI และเทคโนโลยี: โอกาสใหม่ของการศึกษา

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่ภัยคุกคามต่อวิชาชีพครู แต่เป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีศักยภาพสูง ครูต้องปรับบทบาทจากผู้สอนเป็น “โค้ช” และ “ผู้อำนวยความสะดวก” ในการเรียนรู้ โดยใช้ AI เช่น ChatGPT หรือ Generative AI เพื่อช่วยออกแบบการสอน วิเคราะห์ข้อมูลผู้เรียน และส่งเสริมการเรียนรู้เฉพาะบุคคล 

8. ตัวอย่างจากสิงคโปร์: การลงทุนในทักษะดิจิทัล

นโยบายของสิงคโปร์ที่มอบงบประมาณสำหรับการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้แก่ประชาชนทุกช่วงวัย เป็นตัวอย่างที่ดีในการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต รัฐบาลไทยควรศึกษาและปรับใช้ในบริบทของตนเอง โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในทักษะอนาคต เช่น เทคโนโลยี AI และสื่อดิจิทัล 

9. การลดภาระครู: คืนเวลาให้ครูสอน

ภาระงานของครูในปัจจุบันถูกซ้ำเติมด้วยโครงการต่างๆ ที่มีมากเกินความจำเป็น ควรมีการปรับลดและคัดกรองโครงการให้เหลือเฉพาะที่จำเป็นจริง เพื่อให้ครูสามารถทุ่มเทเวลากับการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่ 

10. ทิศทางหลักสูตรใหม่: สู่ระบบที่ยืดหยุ่นและเน้นสมรรถนะ

หลักสูตรใหม่ของประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีในการลดเนื้อหาและเพิ่มกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยเริ่มจากชั้นประถมศึกษาในช่วงต้น พร้อมเปิดโอกาสให้โรงเรียนสามารถปรับใช้ได้ตามบริบท การออกแบบให้มีเนื้อหาหลักบังคับร่วมกัน และเปิดพื้นที่ให้นำเสนอเนื้อหาเฉพาะถิ่นหรือความสนใจของผู้เรียนได้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิรูปหลักสูตรอย่างมีประสิทธิภาพ 

บทสรุป

การยกระดับระบบการศึกษาไทยให้สามารถตอบโจทย์ศตวรรษที่ 21 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ ทั้งทัศนคติของผู้นำนโยบาย การปรับหลักสูตร การพัฒนาครู การใช้เทคโนโลยี และการลดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งเรียนรู้จากตัวอย่างความสำเร็จของประเทศอื่น หากมีเจตจำนงทางการเมืองและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การปฏิรูปการศึกษาย่อมเป็นไปได้ และจะนำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างแท้จริง 

 

ที่มา FB กมล รอดคล้าย