
เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุมฯ ได้อนุมัติให้แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยกำหนดคำนิยามและลักษณะของการนำเสนอผลงานนวัตกรรมเชิงประจักษ์ให้มีความชัดเจน เพิ่มความหลากหลายให้แก้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในการเสนอผลงานทางวิชาการเพื่อขอมีหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งครูสามารถเลือกได้ว่าจะส่งเป็นรายงานการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมเชิงประจักษ์ หรือรายงานการวิจัย ซึ่งการทำรายงานในส่วนนี้ก็เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้มีทักษะ การคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ การสร้างหรือพัฒนานวัตกรรม และวิจัย เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะในวิทยฐานะเชี่ยวชาญหรือเชี่ยวชาญพิเศษ ที่ต้องแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางวิชาการด้วย

“เราได้รับฟังเสียงของครูว่า การเสนอผลงานวิจัยเป็นภาระหนัก ในขณะที่ครูมีผลงานดี ๆ จากการปฏิบัติหน้าที่จริงมากมาย หลักเกณฑ์ฯ ที่แก้ไขนี้ จะช่วยให้ครูสามารถนำผลงานเชิงประจักษ์มาเสนอได้ ซึ่งจะสะท้อนความเป็นจริงของการทำงาน และที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ. พิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของการนำผลงานเชิงประจักษ์ในรูปแบบรางวัลมาเสนอ ก.ค.ศ. พิจารณาอีกครั้งด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายและครอบคลุมที่สุด” ศ.ดร.นฤมล กล่าว
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ การประเมินผลงานทางวิชาการ สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญและวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ผ่านระบบ DPA ยังกำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการประเมินผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้คณะกรรมการได้มีการแลกเปลี่ยนดุลยพินิจในการพิจารณาผลการประเมินและข้อสังเกตของผลงานทางวิชาการร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มีความเหมาะสมและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่เปิดเผยชื่อและตัวตนของคณะกรรมการประเมินและให้การดำเนินการประชุมอยู่ในชั้นความลับทุกขั้นตอน
ประเด็นที่สอง พัฒนาระบบย้ายครู TRS ระยะที่ 3 ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการพัฒนาหลักเกณฑ์ และวิธีการย้ายข้าราชการครู โดยเน้นความ “ยืดหยุ่น” ในการดำเนินการให้มากขึ้น อย่างเช่น ขยายพื้นที่ในการเลือกยื่นคำร้องให้ครูสามารถเลือกสถานศึกษาใดก็ได้ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอื่นในจังหวัดเดียวกัน ส่วนตำแหน่งว่างที่ใช้รับย้าย เดิมกำหนดให้ระบุได้เพียง 1 วิชาเอก ต่อ 1 อัตราว่าง ก็ปรับเป็น สามารถระบุกลุ่มวิชา หรือทาง หรือสาขาวิชาเอก ได้สูงสุด 3 วิชาเอก ต่อ 1 อัตราว่าง เพื่อความยืดหยุ่นในการพิจารณาย้าย เป็นต้น ทั้งนี้การใช้ระบบดิจิทัลจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการจัดทำเอกสารคำร้องของครู จากเดิมครั้งละ 200 - 300 บาท เมื่อมีคำร้องขอย้ายเฉลี่ยปีละประมาณ 70,000 คำร้อง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 14 - 21 ล้านบาทต่อปี สอดคล้องกับนโยบายลดภาระงานและไม่ให้มีการเรียกรับผลประโยชน์ใด ๆ จากครู ทั้งนี้ การดำเนินการยังคงยึดหลักธรรมาภิบาล หลักคุณธรรม จริยธรรม ความเสมอภาค และประโยชน์ของทางราชการ
ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สาม เพิ่มสัดส่วนกรรมการประเมินวิทยฐานะที่เป็นข้าราชการครู ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการประเมินตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา (ว12/2564) รวม 486 คน โดยเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หรืออดีตผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการที่มีประสบการณ์ตรง ทั้งนี้ เพื่อให้การประเมินวิทยฐานะมีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับบริบทการจัดการศึกษาและการบริหารการศึกษาของแต่ละส่วนราชการ สำหรับการประเมินผ่านระบบดิจิทัล (DPA) ส่วนราชการต่าง ๆ ได้เสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิรวม 6,251 คน ขณะนี้มีผู้กรอกข้อมูลและมีคุณสมบัติครบถ้วนแล้ว 1,180 คน แบ่งเป็น สพป. 587 คน สพม. 484 คน สอศ. 79 คน สกร. 17 คน และ สป.ศธ. 13 คน ซึ่ง อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับวิทยฐานะฯ ได้เห็นชอบบัญชีรายชื่อดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมติของ ก.ค.ศ. ในครั้งนี้ได้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกระทรวงศึกษาธิการในการดูแลข้าราชการครูอย่างเป็นรูปธรรม เน้นการลดภาระงานที่ไม่จำเป็น เพิ่มโอกาสในการเติบโตทางวิชาชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตของครู เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศต่อไป
ก.ค.ศ. อนุมัติ แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้สามารถใช้ผลจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือผลงานเชิงประจักษ์มานำเสนอแทนงานวิจัย ในการขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญได้
ที่มา ; เดลินิวส์ออนไลน์
เกี่ยวข้องกัน
ก.ค.ศ. แก้ไขเพิ่มเติมเกณฑ์การขอวิทยฐานะข้าราชการครูฯ
ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 9/2568 วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568 โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุม และมี ดร.ธนู ขวัญเดช เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นเลขานุการการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเกี่ยวกับแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตามที่ ก.ค.ศ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ และผู้บริหารการศึกษา (ว 9 - ว 12/2564) และหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ผู้มีผลงานการสร้างและพัฒนานวัตกรรม เลื่อนเป็นวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ วิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ และวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญพิเศษ (ว 18/2567) โดยกำหนดให้ผู้ขอมีหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องผ่านการประเมินด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ ซึ่งตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวหากขอมีหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญได้กำหนดให้ส่งงานวิจัยหรือนวัตกรรม จำนวน 1 รายการ และหากขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ กำหนดให้ส่งงานวิจัยและนวัตกรรม จำนวนอย่างละ 1 รายการ นั้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์) ได้มีข้อสั่งการเร่งด่วน ในการลดภาระงานและเสริมสร้างความก้าวหน้าทางวิชาชีพของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยเน้นการประเมินวิทยฐานะที่สอดคล้องกับภารกิจที่ต้องปฏิบัติและให้ข้าราชการครูฯ สามารถใช้ผลจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือผลงานเชิงประจักษ์มานำเสนอแทนงานวิจัยได้ สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว โดยได้ประชุมหารือร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการฯร่วมกัน รวมทั้งได้จัดการประชุมสัมมนาเพื่อพัฒนาหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีวิทยฐานะ เพื่อนำความคิดเห็นต่าง ๆ มาวิเคราะห์ สังเคราะห์ ในการพัฒนาหลักเกณฑ์ฯ ซึ่งที่ประชุม ก.ค.ศ. อนุมัติให้แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ดังนี้
1. กำหนดประเภทของผลงานทางวิชาการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) รายงานการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมเชิงประจักษ์ และ
2) รายงานการวิจัย
กรณีร่วมจัดทำกับผู้อื่น ต้องมีส่วนร่วมไม่น้อยกว่าร้อยละ 60
2. การกำหนดลักษณะของผลงานทางวิชาการ คำนิยาม ลักษณะของการรายงานผลงานทางวิชาการ และคำอธิบายการประเมินด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ สำหรับการประเมินคำขอมีหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ทุกตำแหน่ง
3. การเสนอผลงานทางวิชาการในรูปแบบงานวิจัย กำหนดให้เสนองานวิจัยประเภทใดก็ได้และการตีพิมพ์และเผยแพร่งานวิจัย สำหรับการขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการที่ผ่านการพิจารณาแบบ peer-review ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูล TCI กลุ่ม 1 หรือกลุ่ม 2 หรือในฐานข้อมูลวิชาการระดับนานาชาติ
4. การประเมินด้านที่ 3 ด้านผลงานทางวิชาการ สำหรับวิทยฐานะเชี่ยวชาญและวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ผ่านระบบ DPA หลังจากที่สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้รับผลการประเมินจากกรรมการทั้ง 3 คนแล้ว ให้สำนักงาน ก.ค.ศ. จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการประเมินผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่เปิดเผยชื่อและตัวตนของคณะกรรมการประเมิน และให้การดำเนินการประชุมอยู่ในชั้นความลับทุกขั้นตอน
5. การกำหนดวันที่มีผลใช้บังคับ
1) การแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการฯ 9 - 11/2564 และ ว 18/2567 ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2569 เป็นต้นไป ยกเว้นการกำหนดให้สำนักงาน ก.ค.ศ. จัดการประชุมคณะกรรมการประเมินผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อพิจารณาผลการประเมินและข้อสังเกตของผลงานทางวิชาการ ให้ดำเนินการภายหลังจากที่ได้ชี้แจงกรรมการประเมินให้ทราบแนวปฏิบัติแล้ว
2) การแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ว 12/2564 ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568
6. คำขอมีหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญและเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ยื่นไว้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ว 9 ว 12/2564 และ ว 18/2567 ก่อนวันที่การแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการนี้มีผลใช้บังคับ แต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการเดิมนั้นต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ. จัดทำรายละเอียดคู่มือการประเมิน แนวทางการประชุม และพัฒนาระบบ DPA เพื่อรองรับการแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าวต่อไป และยังให้สำนักงาน ก.ค.ศ. พิจารณาหลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะ กรณีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีผลงานเชิงประจักษ์ในรูปแบบรางวัล มาเสนอ ก.ค.ศ. พิจารณาเพิ่มเติมด้วย
ที่มา ; สำนักงาน ก.ค.ศ.
สาระสำคัญของข่าว
คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มีมติแก้ไขหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะ เพื่อให้ข้าราชการครูสามารถใช้ “ผลงานเชิงประจักษ์” จากการปฏิบัติงานจริงแทน “งานวิจัย” ในการขอมีหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษได้ โดยแบ่งผลงานทางวิชาการเป็น 2 ประเภท ได้แก่ รายงานการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมเชิงประจักษ์ และรายงานการวิจัย ซึ่งการประเมินจะทำผ่านระบบดิจิทัล DPA ภายใต้ความลับทุกขั้นตอน ทั้งนี้เพื่อให้ครูมีโอกาสเติบโตทางวิชาชีพ ลดภาระงาน และสะท้อนผลงานจริงในห้องเรียน นอกจากนี้ ก.ค.ศ. ยังเห็นชอบพัฒนาระบบย้ายครู TRS ระยะที่ 3 ให้ยืดหยุ่นมากขึ้นและลดค่าใช้จ่าย รวมถึงเพิ่มสัดส่วนกรรมการประเมินที่เป็นข้าราชการครู เพื่อให้การประเมินสอดคล้องกับบริบทการศึกษา ทั้งหมดนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2569 เป็นต้นไป
แนวข้อสอบแบบเลือกตอบ
ข้อใดคือสาระสำคัญของการแก้ไขหลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะของครูตามมติ ก.ค.ศ.
ก. ให้ครูส่งเฉพาะงานวิจัยเท่านั้น
ข. ให้ครูสามารถใช้ผลงานเชิงประจักษ์แทนงานวิจัยได้
ค. เพิ่มจำนวนการส่งผลงานจาก 1 เป็น 3 รายการ
ง. ยกเลิกการประเมินวิทยฐานะทั้งหมด
คำตอบ: ข
ระบบใดที่ใช้ในการประเมินผลงานทางวิชาการของครูตามหลักเกณฑ์ใหม่
ก. TRS
ข. DPA
ค. TCI
ง. PA
คำตอบ: ข